นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) เปิดเผยถึงงบการเงินรวมก่อนสอบทานของ COTTO ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 3,397 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เนื่องจากในปีนี้สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ ขณะที่ไตรมาส 3 ของปีก่อนหน้านี้เป็นช่วงล็อคดาวน์เข้มข้น
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมบริษัทมีกำไร 135 ล้านบาท ลดลง 17% เนื่องจากในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมหนองแค 131 ล้านบาทด้วย
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบโดยไม่รวมรายได้จากการขายที่ดิน บริษัทจะมีรายได้จากการขายเฉพาะสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น 24% และกำไรสำหรับงวดเพิ่มขึ้น 22% จากการที่บริษัทได้มีการปรับเพิ่มราคาสินค้าให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนที่เพิ่มขึ้น การควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนการผลิต
สำหรับภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างในช่วงไตรมาสที่ 3 จนถึงสิ้นปีนี้ บริษัทฯ มองว่ามีสัญญาณเริ่มฟื้นตัวขึ้น จากปัจจัยสำคัญ คือ การเปิดประเทศและการผ่อนคลายมาตรการการเดินทาง ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวดีขึ้น จากปริมาณนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เริ่มกลับเข้ามามากขึ้น การลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดก่อสร้างและการต่อเติมซ่อมแซมที่อยู่อาศัย มีแนวโน้มที่ดีหลังจากนี้ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจ
แม้ว่าค่าครองชีพจะพุ่งสูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากต้นทุนพลังงานและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังคงส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคภายในประเทศ แต่มาตรการของรัฐที่สนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการลดหน่วยค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง คลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ยังถือเป็นสัญญาณที่ดี
"บริษัทฯ ให้ความสำคัญการบริหารความเสี่ยงทางด้านต้นทุนจากราคาพลังงานและภาวะเงินเฟ้อ พร้อมกับพยายามป้องกันและลดผลกระทบต่อยอดขายและรายได้ โดยเราจะมุ่งเน้นไปที่การรักษาฐานตลาด ควบคู่ไปกับการควบคุมต้นทุน ปรับตัวให้ไว มองหาโอกาสใหม่ในการทำธุรกิจ รวมถึงการบริหารจัดการพอร์ตสินค้าโดยจะเน้นไปที่การขายสินค้า HVA และสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงเป็นหลักเพื่อสร้างผลกำไรให้กับบริษัทอย่างยั่งยืน " นายนำพล กล่าว
สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดช่วงปลายไตรมาสนี้ ส่งผลต่อปริมาณการขายกระเบื้องเซรามิกลดลง งานก่อสร้างชะลอตัว ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่หากสถานการณ์น้ำคลี่คลายคาดว่าปริมาณการขายสินค้าจะกลับมาเป็นปกติ หรือเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง จากผู้บริโภคที่น่าจะมีความต้องการซื้อสินค้าเพื่อซ่อมแซมและตกแต่งบ้านมากขึ้น ทั้งนี้ยังสอดคล้องไปกับแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ โครงการลงทุนโครงการซ่อมแซมปรับปรุงสาธารณูปโภค และมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทางภาครัฐอีกด้วย