นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) เปิดเผยว่า ภายหลังการควบรวมกิจการกับบริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ (SCGL) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกลุ่ม บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) โดย JWD จะดำเนินการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (SCGJWD) โดยจะใช้ตัวย่อ "SJWD" ในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะส่งผลให้บริษัทดังกล่าวมีมาร์เก็ตแคปเติบโตแตะ 1 แสนล้านบาท ในปี 70 จากปัจจุบัน JWD มีมาร์เก็ตแคปอยู่ราว 22,000 ล้านบาท และหากรวมกับที่จะมีการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 791,020,363 ล้านหุ้น จะมีมาร์เก็ตแคปอยู่ 40,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ กระบวนการรับโอนกิจการทั้งหมดคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในไตรมาส 1/66 ซึ่งเบื้องต้นประเมินรายได้ในปี 66 ของ SJWD จะเติบโต 10-12% จากปีนี้ โดยครึ่งปีแรกของปี 65 JWD และ SCGL มีรายได้รวมกันอยู่ที่ 14,270 ล้านบาท และจากในปี 64 มีรายได้รวมกันอยู่ที่ 25,548 ล้านบาท
บริษัทได้วางแผนร่วมกัน 5 ส่วน ได้แก่ 1.การเพิ่มรายได้จากการ Cross-Sale และ Up-Sale จากฐานลูกค้าเดิมของ SCGL และ JWD เพื่อเพิ่มรายได้และการประหยัดต้นทุน 2. การสร้างมูลค่าเพิ่มในบริการเดิมที่แต่ละฝ่ายมีความชำนาญเช่น คลังห้องเย็น ลานจอดรถยนต์ คลังสินค้าอันตราย การขนส่งแบบต่อเนื่องหลายรูปแบบ เป็นต้น 3.การเชื่อมต่อฐานการให้บริการในภูมิภาคอาเซียนแบบไร้รอยต่อ โดยนำ Business Model ที่ประสบความสำเร็จในไทย ไปสร้างการเติบโตในต่างประเทศ 4. ให้บริการแบบ D2C (Direct to Consumer) ตามความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ผ่านบริการ ห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า, โลจิสติกส์สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ, การขนส่งแบบด่วน และ 5. พัฒนาขอบเขตการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ในธุรกิจใหม่ ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม บริการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับจัดการโลจิสติกส์ เป็นต้น
"ดีลรวมกิจการครั้งนี้เป็นดีลใหญ่และสำคัญ ที่เราพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้น และจะทำให้เราสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนท่ามกลางสภาวะตลาดที่ท้าทายและผันผวน ทั้ง JWD และ SCGL ต่างเป็นจิ๊กซอว์ที่ลงตัว มีฐานลูกค้าที่แตกต่าง สามารถเสริมแกร่งซึ่งกันและกัน ภายใต้ศักยภาพของ SCGJWD เราจะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัดอย่างยั่งยืน และสามารถส่งมอบโซลูชั่นส์ที่เป็น One Stop Service อย่างแท้จริง" นายชวนินท์ กล่าว
นายบรรณ เกษมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า การรวมกิจการกับ JWD ถือเป็นการผสมผสานความเชี่ยวชาญของ 2 บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมโลจิติกส์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการที่ดียิ่งขึ้นและทำให้การเติบโตของธุรกิจเป็นไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
โดย SCGL มีความเชี่ยวชาญการให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ จากการให้บริการขนส่งสินค้าแก่บริษัทในเครือ SCG และลูกค้าทั่วไป รวมถึงการลงทุนพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีไอทีมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ระบบควบคุมการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (Control Tower), ระบบ Telematics เพื่อติดตามข้อมูลการขับขี่และแจ้งเตือนคนขับ, ระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) ฯลฯ รวมถึงมีโรงเรียนทักษะพิพัฒน์ เพื่อฝึกทักษะการขับขี่ปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่รถบรรทุก รถโฟล์คลิฟท์
ขณะเดียวกัน SCGL มีการดำเนินธุรกิจในหลายประเทศจากการขยายธุรกิจเพื่อรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่ม SCG เช่นในประเทศ เวียดนาม อินโดนีเซีย จีน กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และฟิลิปปินส์ เป็นต้น โดยสามารถให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนจากไทย สปป.ลาว เวียดนาม ไปยังจีน และมีธุรกิจเรือลำเลียงสินค้า (Barge) ที่สามารถขนส่งสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา เมียนมา รวมถึงมีธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางเรือ ซึ่งสามารถร่วมกับ JWD ขยายเส้นทางให้บริการไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน
SCGL มีแผนขยายบริการโลจิสติกส์ทางรางและทางอากาศ ซึ่งเมื่อรวมกับ JWD แล้ว จะสามารถขยายเครือข่ายการให้บริการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบที่มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจ เนื่องจากการขนส่งสินค้าทางเรือและทางราง มีต้นทุนต่ำกว่าทางรถ โดยฐานลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะเพิ่มโอกาสขนส่งสินค้าได้ทั้งขาไปและขากลับ นอกจากนี้จะให้ความสำคัญกับเรื่อง Sustainability เช่น การเป็น "Green Logistic" มุ่งเน้นการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยการลดการใช้พลังงาน ทั้งการนำรถขนส่งพลังงานไฟฟ้าเข้ามาใช้ และการใช้พลังงานจาก Solar Roof ภายในคลังสินค้า เป็นต้น
ด้านความร่วมมือในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ มองว่าเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่มีศักยภาพจากอัตราเติบโตของเศรษฐกิจที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคนี้ จึงมีความต้องการคลังสินค้าและผู้ให้บริการโลจิสติกส์เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม และสามารถขยายการลงทุนสร้างคลังสินค้าเพิ่มเติมในประเทศต่าง ๆ เพื่อสร้างการเติบโตในระดับภูมิภาค
"เมื่อรวมกันแล้ว เราจะกลายเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ที่มีจุดเด่นด้านการให้บริการโลจิกติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจร (Integrated Logistics and Supply Chain Solutions Provider) ที่ครอบคลุมมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งทั้งในด้านความเป็นมืออาชีพของ SCGL และประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านการให้บริการโลจิสติกส์เฉพาะด้าน (Specialized) ของ JWD กลายเป็นผู้นำธุรกิจในภูมิภาคนี้" นายบรรณ กล่าว