นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (AAI) เปิดเผยว่า บริษัทฯพร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 โดยใช้ชื่อย่อ AAI ในการซื้อขายหลักทรัพย์ หลังประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้น IPO ในช่วงที่ผ่านมา จำนวน 637.5 ล้านหุ้น ราคาเสนอขาย 5.55 บาทต่อหุ้น ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก สะท้อนความเชื่อมั่นในพื้นฐานการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีความแข็งแกร่งและมีศักยภาพการเติบโตสูง ช่วยสนับสนุนให้ AAI เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนภายหลังจากเข้าเทรด
ทั้งนี้ ภายหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯ มีนโยบายลงทุนและขยายธุรกิจเพื่อดำเนินการตามวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ในการเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารสู่สากล ด้วยคุณภาพ ความปลอดภัยและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
บริษัทวางแผนขยายการลงทุนในปี 2565-2568 ซึ่งจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,700-2,000 ล้านบาท แบ่งเป็น
1) โครงการขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกในประเทศไทย โดยมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอีกประมาณ 40,000 ตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 1 เท่า จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกสูงสุด 42,000 ตันต่อปี ซึ่งจะเป็นการทยอยเพิ่มกำลังผลิตตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565-2568 เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสการเติบโตของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนขยายกำลังการผลิตครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท ซึ่งมีแหล่งเงินทุนมาจากการระดมทุนในครั้งนี้ประมาณ 600?700 ล้านบาท และส่วนที่เหลือมาจากเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
2) โครงการลงทุนในคลังสินค้าอัตโนมัติ (Auto Warehouse) แห่งที่ 2 ภายในปี 2566 โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 400?500 ล้านบาท สามารถจัดเก็บสินค้าเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 15,000?20,000 พาเลท ภายหลังจากคลังสินค้าอัตโนมัติของบริษัทฯ ไม่เพียงพอรองรับแผนงานการขยายกำลังการผลิตในอนาคต พร้อมกันนี้ AAI มีแผนจะยื่นขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามบัตรส่งเสริมการลงทุน (BOI) ใน 2 โครงการดังกล่าวอีกด้วย 3) เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมทั้งระยะสั้นและระยะยาว จำนวนไม่เกิน 700-800 ล้านบาท ภายในไตรมาส 4/2565 ซึ่งจะส่งผลให้ดอกเบี้ยจ่ายและอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) หลัง IPO ลดลง และ 4) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ
กรรมการผู้จัดการ AAI กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มีแนวทางขยายธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ตอกย้ำการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกรายใหญ่ของประเทศไทย ภายใต้แผนกลยุทธ์ "Level Up AAI!" เพื่อยกระดับองค์กรให้พัฒนาและเติบโตให้ทันกับโอกาสทางธุรกิจ และพร้อมปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผ่านการยกระดับองค์กรในด้านต่างๆ ได้แก่
1) ยกระดับธุรกิจ (Level Up Our Organization) มุ่งเน้นการปรับโครงสร้างองค์กรและโครงสร้างการบริหารงานให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล เร่งพัฒนาบุคลากร รวมถึงการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อรองรับการเติบโตและโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
2) ยกระดับสถานะจาก "ผู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์" เพื่อเป็น "คู่ค้าเชิงกลยุทธ์" (Level Up our Co-developer Position to Strategic Partners) โดยให้ความสำคัญและมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงมองหาโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งในกลุ่มธุรกิจที่เป็นต้นน้ำและปลายน้ำ (Up-stream / Down-stream) เพื่อให้การบริหารจัดการด้านห่วงโซ่อุปทานมีความต่อเนื่องและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3) ยกระดับแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัทฯ เพื่อมุ่งสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก (Level Up Our Own Brands) โดยเดินหน้าพัฒนาแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในหลากหลายแบรนด์ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มลูกค้าในทุกตลาดย่อย (Market Segment) และมีผลิตภัณฑ์ครบทุกประเภท
และ 4) ยกระดับความใส่ใจต่อแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านแผนกลยุทธ์ CHEERS! (Level Up Cares Through CHEERS! Strategy) โดยให้ความสำคัญต่อปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยึดมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืนตามหลักสากลขององค์การสหประชาชาติ ควบคู่ไปกับการเติบโตของบุคลากรในองค์กร และการพัฒนาของสังคมรอบข้าง ตลอดจนรักษาทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่ายิ่งให้คงอยู่ต่อไปในอนาคต
นายทวีชัย ตั้งธนทรัพย์ Head of Investment Banking Capital Market บล.ทิสโก้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า AAI ถือเป็นหุ้นที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงตัวแรกที่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตสูง ภายหลังจากกลุ่มประชากรในปัจจุบันมักนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว หรือที่เรียกว่า "Pet Humanization" โดยในช่วงการจองซื้อหุ้น IPO ที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันเป็นอย่างมาก
โดยในส่วนของนักลงทุนสถาบันในประเทศมีความต้องการจองซื้อมากถึงเกือบ 10 เท่าของจำนวนหุ้นที่จัดสรร อันเนื่องมาจากพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก (Wet Pet Food) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ชั้นนำของประเทศ พร้อมด้วยทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมานานกว่า 15 ปี ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นถึงศักยภาพของบริษัทฯ ที่พร้อมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป