บมจ.นิวทรีชั่น เอสซี ผู้นำเข้า ผลิต และจัดจำหน่าย วัตถุดิบ สารปรุงแต่ง และวัตถุเจือปนในอาหารคนและอาหารสัตว์ ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 25,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 25.0% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์การใช้เงิน 1.เพื่อชำระหนี้สินเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับที่ปรึกษาทางการเงิน และ/หรือผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 2. เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ
กลุ่มบริษัทประกอบด้วย
1) บริษัท นิวทรีชั่น เอสซี จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ" หรือ "NTSC") ประกอบธุรกิจนำเข้า ผลิต และจำหน่ายวัตถุดิบ, สารปรุงแต่ง, วัตถุเจือปนอาหาร, วัตถุแต่งกลิ่นรส, สารเสริมอาหารและเครื่องปรุงต่าง ๆ ในอาหารคน
2) บริษัท นิวโวเทค จำกัด ประกอบธุรกิจนำเข้า ผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบ, วัตถุที่เติม (Feed additives), วัตถุที่เป็นสื่อ (Carrier), วัตถุที่ผสมแล้ว (Premix), อาหารเสริม (Supplement) ในอาหารสัตว์ (Feed และ Pet Food) และ
3) บริษัท นิวทรีชั่น จำกัด ประกอบธุรกิจให้เช่าอาคารและให้เช่าช่วงที่ดินแก่ NTSC เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ
โครงสร้างผู้ถือหุ้นก่อนและหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชน สามารถสรุปเป็นดังนี้
รายชื่อ/กลุ่มผู้ถือหุ้น ก่อนการเสนอขาย IPO ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2565 หลังการเสนอขาย IPO (โดยประมาณ) จำนวน(หุ้น) ร้อยละ จำนวน(หุ้น) ร้อยละ 1 นายสุรเดช เอกปัญญาสกุล 30,000,143 40.00 30,000,143 30.00 2 นางชุตินันท์ สนั่นเสียง 29,999,786 40.00 29,999,786 30.00 3 น.ส. พัชร์ เอกปัญญาสกุล 15,000,071 20.00 15,000,071 15.00 รวมจำนวนหุ้น 75,000,000 100.00 75,000,000 75.00
สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 (COVID-19) ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 เป็นต้นมา ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและค่าขนส่งขาเข้าที่สูงขึ้น ทำให้ระยะเวลาในการนำเข้าสินค้าใช้เวลานานขึ้น โดยกลุ่มบริษัทได้ปรับกลยุทธ์การแข่งขันเพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ที่มองหาสินค้าทดแทนสินค้าเดิม ทำให้รายได้ปี 2563 เพิ่มขึ้น 144.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 17.0% จากปีก่อน ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของปี 2563 ลดลงจาก 25.0% (ปี 2562) เป็น 22.1% อันเป็นผลจากต้นทุนสินค้าปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน และมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของชาติตะวันตกในด้านต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกในวงกว้างซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าและค่าขนส่งปรับราคาสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทได้ปรับกลยุทธ์การขายโดยมุ่งเน้นการให้คำแนะนำด้านวิชาการต่อลูกค้าเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ทดแทนอื่นที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและราคาได้ตามความต้องการของลูกค้า และมุ่งเน้นการทำตลาดในกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงและสัตว์เศรษฐกิจมากขึ้น ส่งผลให้วิกฤตดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในช่วงปี 2562-1H65 อย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายเติบโตต่อเนื่องในปี 2563 -2564 และ 1H65 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 17.0%, 4.1% และ 1.7% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องในปี 2563 -2564 และ 1H65 โดยหลักเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหารคนและอาหารสัตว์
บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและสำรองตามกฎหมายแล้วของกลุ่มบริษัท โดยคณะกรรมการบริษัทจะพิจารณาการจ่ายเงินปันผลโดยคำนึงผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเป็นหลักและการจ่ายเงินปันผลนั้นจะต้องไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานตามปกติของกลุ่มบริษัท ทั้งนี้การจ่ายปันผลดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงิน สภาพคล่อง แผนการขยายธุรกิจ ความจำเป็นและความเหมาะสมอื่นใดในอนาคตและปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการบริหารงานของกลุ่มบริษัท