AAI ปิดเทรดวันแรกที่ 8.90 บาท เพิ่มขึ้น 3.35 บาท (+60.36%) มูลค่าซื้อขาย 7,406.25 ล้านบาท จากราคา IPO ที่ 5.55 บาท โดยราคาเปิดที่ 7.90 บาท ราคาสูงสุด 9.00 บาท ราคาต่ำสุด 7.30 บาท
บล.ทิสโก้ ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นสามัญของ บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (AAI) ให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ประเมินมูลค่าราคาเป้าหมายปี 66 ของ AAI ที่ 7.70 บาท หรือมูลค่าตลาด 16,400 ล้านบาท จากการประเมินวิธีหุ้นกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศและภูมิภาคได้ PER23F 19.2X เทียบเท่า PEG23F ที่ 1.3X โดยคาด net profit growth 15% (CAGR3Y) และคาด Dividend Yield ปี 66 ที่ 3.6%
จากการคาด AAI จะมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง หลังจากขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงรองรับตลาดการส่งออกที่มีขนาดใหญ่และมีอัตราเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารจัดการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับการขยายธุรกิจในอนาคต โดยการประเมินค่าของเราค่อนข้างอนุรักษนิยมจากค่าเฉลี่ย PEG ยังต่ำกว่าตลาดในประเทศและภูมิภาคอยู่ที่ PEG23F ที่ 1.9X
AAI เป็นหนึ่งในผู้รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food)ชั้นนำของประเทศ ดำเนินธุรกิจมามากกว่า 15 ปีจนเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์และผู้บริโภคในระดับสากล นอกจากนี้บริษัทมีแผนกลยุทธ์ในการยกระดับจากการเป็นผู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Co-developer) ในปัจจุบัน เป็นคู่ค้าเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner)
ผลประกอบการใน 3 ปีข้างหน้า (2565-2567) คาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้เฉลี่ยปีละ 15% (CAGR3Y) แนวโน้มผลประกอบการ AAI เติบโตจากความนิยมสัตว์เลี้ยงสุนัขและแมวโลกเพิ่มขึ้น โดยผลประกอบการจะเติบโตอย่างยั่งยืน จากปัจจัยบวก 1)ความนิยมในการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงและการดูแลเอาใจใส่สุขภาพของสัตว์เลี้ยงเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน สอดคล้องกับตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของโลกพัฒนาและเติบโตต่อเนื่อง 2)ประเทศไทยมีการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นอันดับ 3 ของโลกและข้อได้เปรียบในการแข่งขัน 3) บริษัทมีลูกค้ารายใหญ่ในอเมริกา อังกฤษ และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดใหญ่และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 4) บริษัทสร้างแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงของตนเองครอบคลุมทุกกลุ่มโดยเน้นตลาดในประเทศไทยและประเทศจีน 5) AAI เป็นผู้รับจ้างผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีการวิจัยและพัฒนาสูตรอาหารสัตว์เลี้ยงต่อเนื่องให้ตรงตามความต้องการลูกค้าจากการร่วม Co-development และมีแผนพัฒนาเป็น Strategic Partner ทั้งในธุรกิจต้นน้ำและธุรกิจปลายน้ำ 6) บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตรองรับการเติบโตของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง
กำไรสุทธิปี 65-67 คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 15% (CAGR3Y) สัดส่วนรายได้อาหารสัตว์เลี้ยงจะเพิ่มขึ้นมีการเติบโตสอดคล้องกับภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงโลกและการขยายกำลังการผลิตของบริษัทรองรับตลาดที่ใหญ่และเติบโตต่อเนื่อง จากการขยายกำลังการผลิตต่อเนื่องทุกปีรวมประมาณ 40,000 ตันตั้งแต่ปี 65-69 รองรับลูกค้ารายใหญ่ปัจจุบันที่มีสัญญาซื้อขายระยะยาว 5 ปี และรองรับลูกค้าปัจจุบันรวมถึงเพิ่มโอกาสในการรับลูกค้ารายใหม่มากขึ้น และคาดสัดส่วนรายได้จากแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัทเองเพิ่มขึ้น จากการพัฒนาสินค้าและทำการตลาดครอบคลุมตลาดทุกกลุ่มตั้งแต่ตลาดสินค้าพรีเมี่ยมจนถึงตลาดที่มีการแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก (Low-end market) ปัจจุบันแบรนด์สินค้าของบริษัทมีสัดส่วนประมาณ 3% ของรายได้รวม