นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมสายงานวาณิชธนกิจ ด้านตลาดทุน บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ในฐานะปรึกษาทางการเงิน บมจ.เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม (KLINIQ) เปิดเผยว่า การจองซื้อหุ้นไอพีโอของ KLINIQ จำนวน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท/หุ้น ในราคาหุ้นละ 24.50 บาท ระหว่างวันที่ 28 ต.ค.-1 พ.ย.65 ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างคึกคัก ทั้งนักลงทุนสถาบัน วีไอ และนักลงทุนทั่วไป เนื่องจากมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของ KLINIQ ในฐานะผู้นำธุรกิจสุขภาพและการแพทย์ความงามครบวงจร รวมทั้งเป็นคลินิกเวชกรรมเจ้าแรกที่เข้าระดมทุนในตลาดหุ้น
ทั้งนี้ การที่หุ้น KLINIQ ได้รับความสนใจจากนักลงทุน เชื่อว่ามาจากการกำหนดราคาหุ้นอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ทั้ง 7 แห่งคาดการณ์ โดย KLINIQ เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า "KLINIQ" ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ
"จากฐานะทางการเงินของ KLINIQ ที่มีความแข็งแกร่ง และแบรนด์ THE KLINIQUE ที่มีความแข็งแกร่ง ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ และประสบการณ์มายาวนานกว่า 13 ปี ไร้ภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ย ทำให้สามารถเดินหน้าขยาย รองรับความต้องการผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของความงามและสุขภาพ สอดรับเมกะเทรนด์ ซึ่งทำให้เห็นถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในอนาคตของ KLINIQ เติบโตก้าวกระโดด สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต"นายรัฐชัย กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 65 ของ KLINIQ ถือว่าเติบโตอย่างมีนัยสำคัญหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาคึกคัก โดยมีรายได้รวม 714.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.26% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 451.59 ล้านบาท กำไรสุทธิ 100.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.03% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 60 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิของทั้งปี 64 อยู่ที่ 129.25 ล้านบาท
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KLINIQ กล่าวว่า KLINIQ เป็นคลินิกการแพทย์ความงามเจ้าแรกของประเทศไทยที่เข้าระดมทุนในตลาดหุ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทเตรียมนำเงินไปใช้ขยายสาขาคลินิกเวชกรรมราว 6-10 สาขาต่อปี ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ หัวเมืองใหญ่ และหัวเมืองรอง โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนขยายคลินิกเวชกรรมและจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์เพิ่มเติมประมาณ 950 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนทุนภายใน 2-3 ปี ส่วนศูนย์ศัลยกรรมจะใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาทคาดว่าจะคืนทุนภายใน 3-4 ปี
อีกทั้งเตรียมนำเงินไปพัฒนาระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของฝ่ายสนับสนุน โดยในส่วนของการพัฒนาระบบ IT งบลงทุนอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินงานได้ภายในปี 2566 และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 270 ล้านบาท
"ที่ผ่านมาเราได้ผ่านบททดสอบและผ่านวิกฤติมาแล้วหลายรอบ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมืองในประเทศปี 53 วิกฤติน้ำท่วมในปี 54 และวิกฤติการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในปี 63 แต่ผลการดำเนินงานของ KLINIQ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากโมเดลธุรกิจ Asset Light และฐานะการเงินที่มีความแข็งแกร่ง ไร้หนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย (Cash Rich-Zero debt) และการที่มีลูกค้ากว่า 2 แสนราย เข้ามาใช้บริการซ้ำ ทำให้มีรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Recurring Income) และจากแผนการขยายสาขา เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง รวมทั้งการเป็นธุรกิจที่อยู่ในเมกะเทรนด์ จะช่วยผลักดันแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด"นายแพทย์อภิรุจ กล่าว