โบรกเกอร์ต่างแนะ "ซื้อ" หุ้น บมจ.ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป (TU) หลังกำไรในไตรมาส 3/65 ทำนิวไฮ 2,530 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% YoY และ 56% QoQ และแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/65 จะยังดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet cares) ที่ยังเติบโตได้ดี แต่จะลดลง QoQ ตาม seasonal ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าหนุนยอดขายของบริษัท
ทั้งนี้ กำไรสุทธิในปี 65 คาดอยู่ที่ 7,700-7,877 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 8,000 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 2/65 มีสำรองขาดทุนจากการปิดโรงงานในเยอรมัน จำนวน 500 ล้านบาท และปี 66 คาดกำไรสุทธิเติบโตเป็น 8,022 ล้านบาท
ราคา TU เปิดภาคบ่ายเคลื่อนไหวที่ 18.10 บาท ปรับขึ้น 0.10 บาท (+0.56%) ขณะที่ SET +0.44%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) ทิสโก้ ซื้อ 25.00 พาย ซื้อ 24.30 ดาโอ ซื้อ 24.00 หยวนต้า ซื้อ 23.50 คิงส์ฟอร์ด ซื้อ 22.60 ทรีนีตี้ ซื้อ 21.00 ฟิลลิป ทยอยซื้อ 20.80 โนมูระ พัฒนสิน Trading Buy 20.00
นางเพลินใจ จิระจรัส ผู้อำนวยการสายงานวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า คาดผลประกอบการในไตรมาส 4/65 จะเติบโตจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่อาจจะน้อยกว่าไตรมาส 3/65 ที่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนกว่า 800 ล้านบาทเนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าและมีการปรับขึ้นราคาขาย ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นมาที่ 18.15% ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาส 3/65 ทำ All Time High ที่ 2.53 พันล้านบาท
ยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเติบโตจากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง กลุ่มอาหารทะเลกระป๋อง และกลุ่มอาหารทะเลแช่แข็งที่มีดีมานด์ค่อนข้างสูง อีกทั้งสามารถปรับเพิ่มราคาขายตั้งแต่ไตรมาส 3/65 ตามราคาวัตถุดิบสูงขึ้น โดยคาดยอดขายโดยรวมปีนี้เติบโต 12-15% ซึ่งในงวด 9 เดือนปี 65 ยอดขายโต 13% จากปกติยอดขายเติบโตราว 10% ต่อปี และปี 66 คาดว่ายอดขายจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin: GPM) ปีนี้คาดอยู่ที่ 17.6% ต่ำกว่าปี 64 ที่อยู่ในระดับ 18.2% เพราะช่วงต้นปีอัตรากำไรไม่ค่อยดีนัก โดยประมาณการกำไรปกติในไตรมาส 4/65 ที่ 1,700 ล้านบาท จากไตรมาส 3/65 ที่มีกำไรปกติ 1,800 ล้านบาท และทั้งปี 65 คาดกำไรจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 7,400 ล้านบาท สูงขึ้น 6% จากปีก่อน
อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิในปี 65 คาดอยู่ที่ 7,700 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 8,000 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 2/65 มีสำรองขาดทุนจากการปิดโรงงานในเยอรมัน จำนวน 500 ล้านบาท ส่วน Red Lobster คาดไตรมาส 4/65 ยังขาดทุนต่อเนื่องจากไตรมาส 3/65 ที่ขาดทุน 456 ล้านบาท และเพิ่งแต่งตั้งผู้บริหารใหม่ก็คาดว่าในปีหน้าจึงจะ Turnaround
นอกจากนี้ใน ธ.ค.65 บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TU จะเสนอขายหุ้น IPO และเข้าเทรดตลาดหลักทรัพย์ก็เป็นปัจจัยบวกหนุน TU ด้วย จึงให้ราคาเป้าหมายหุ้น TU ที่ 20.00 บาท
ด้าน บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า TU รายงานกำไรไตรมาส 3/65 ที่ 2,530 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% YoY และ 56% QoQ ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของเรา และ BBg ที่ 21% และ 30% ตามลำดับ ไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 792 ล้านบาท กำไรหลักอยู่ที่ 1,813 ล้านบาท ผิดจากคาดการณ์ของเราเล็กน้อย 6% เนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และ SG&A ที่สูงกว่าที่คาดไว้ และผลการดำเนินงาน Red Lobster ที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ แต่ได้เพิ่มการประเมินมูลค่าของเราเป็นปี 66 ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 25 บาท
รายได้สำหรับไตรมาส 3/65 โต 15% YoY ได้รับแรงหนุนจากค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (-10.6% YoY) ซึ่งมีสัดส่วนที่มากกว่าการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับ GBP (+5.6% YoY) และ EUR (+5.5% YoY) หากไม่รวมผลจาก FX ยอดขายเติบโตก็ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งที่ 12.3% โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของปริมาณการขายที่ 8.1%
การเติบโตโดยรวมสำหรับไตรมาสนี้ได้รับแรงหนุนจากกลุ่ม Ambient และ PetCare & Others: ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น +13.6% ขณะที่ยอดขาย PetCare & Others เพิ่มขึ้น +55.9% YoY ในทางกลับกันยอดขายแช่แข็งและแช่เย็นทรงตัวเมื่อเทียบปีต่อปี กลุ่ม Ambient มียอดขายที่แข็งแกร่งในเอเชียและสหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย กลุ่ม PetCare & Others เติบโตจากฐานที่ต่ำจากการปิดโรงงานในปีที่แล้วเนื่องจากโควิด สุดท้ายธุรกิจแช่แข็งและแช่เย็นเห็นการฟื้นตัวของยอดขายในสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และเอเชีย ชดเชยด้วยการเข้าสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง (ปริมาณที่ต่ำกว่า)
GPM สำหรับไตรมาสอยู่ที่ 18.2% ซึ่งสอดคล้องกับคาดการณ์ของเรา GPM ในกลุ่ม Ambient ขยับขึ้น QoQ เนื่องจากราคาขายที่สูงขึ้นจากการตกลงราคาของ TU และสัดส่วนผลิตภัณฑ์ การจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม Frozen & Chilled อ่อนตัวลง QoQ เนื่องจากการปรับมาตรฐานของตลาดสหรัฐและราคาปลาแซลมอนที่สูง สุดท้ายนี้ กลุ่ม PetCare & Others ยังคงรักษาระดับที่สูง การขาดทุนสำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 256 ล้านบาท Red Lobster รายงานขาดทุน 456 ล้านบาท (339 ล้านบาท จากการดำเนินงาน และ 117 ล้านบาทจากการปรับปรุงบัญชีสัญญาเช่า) SG&A ต่อยอดขาย 12.4% ในไตรมาสนี้ ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของบริษัท
แนวโน้มไตรมาส 4/65 คาดว่ากำไรหลักจะยังคงทรงตัวที่ QoQ เนื่องจากค่าแรงขั้นต่ำสูงขึ้น ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ และการดำเนินงาน Red Lobster ที่แย่ลงจะถูกชดเชยด้วยการปรับมาตรฐานใน Frozen & Chilled และค่าขนส่งที่ลดลง ในขณะเดียวกัน กลุ่ม Ambient และ Petcare & Others ควรรักษาอัตราการเติบโตจากการเพิ่มขึ้นของราคา และ FX ที่ที่เอื้ออำนวย แนะนำให้ "ซื้อ" โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 25.00 บาท อิง PER ที่ 16 เท่าสำหรับปี 2023F
ด้านบทวิเคราะห์ของบล.ดาโอ (ประเทศไทย) คงคาแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมาย 24.00 บาท อิง 2023E PER 14.0 เท่า (-0.75 SD below 5-yr average PER) โดยบริษัทรายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,530 ล้านบาท (+31% YoY, +56% QoQ) และกำไรปกติอยู่ที่ 1,815 ล้านบาท (+5% YoY,+8% QoQ) ใกล้เคียงตลาดคาด จากรายได้รายไตรมาสที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ รวมถึง gross margin ที่ดีขึ้น ทั้ง YoY และ QoQ จาก product mix ที่มีสัดส่วนของยอดขายจากธุรกิจ pet cares ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในส่วนของ Red lobster (RL) ยังไม่เห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัย
ขณะที่เรามีมุมมองเป็นกลางจาก group meeting โดยผู้บริหารยังคงเป้าการเติบโตของรายได้ และแนวโน้มมาร์จิ้นของปี 65 ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/65 จะยังดีต่อเนื่องจากธุรกิจ Pet cares ที่ยังเติบโตได้ดี แต่จะลดลง QoQ ตาม seasonal
คงประมาณการกำไรสุทธิปี 65 และปี 66 อยู่ที่ 7,877 ล้านบาท (-2% YoY) และ 8,022 ล้านบาท (+2% YoY) จากสมมติฐาน 1) รายได้อยู่ที่ 159 พันล้านบาท (+13% YoY) และ 168 พันล้านบาท (+6% YoY) จากรายได้จากธุรกิจ pet care & value added และ ambient ขึ้น ขณะที่รายได้จากธุรกิจ frozen จะทรงตัว 2) เราคาด gross margin ปี 65/66 ที่ 17.9% เนื่องจากบริษัทมีการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วยการปรับราคาขาย
ราคาหุ้น outperform SET 9%/+11% ใน 3 และ 6 เดือนที่ผ่านมา จากผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัว ผลขาดทุนใน RL ที่มีแนวโน้มลดลง และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง โดยเรายังคงแนะนำ "ซื้อ" จาก valuation ที่น่าสนใจ ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ PER 2023E 10.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 20 เท่า และยังมี catalyst จากการนำ บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (i-Tail) ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ทำธุรกิจ Pet food เข้าจดทะเบียนในตลาดฯในไตรมาส 4/65