SHR ปรับขึ้น 3.16% หรือเพิ่มขึ้น 0.12 บาท มาที่ 3.92 บาท มูลค่าซื้อขาย 67.48 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.53 น.จากราคาเปิด 3.96 บาท ราคาสูงสุด 3.96 บาท ราคาต่ำสุด 3.90 บาท
บล.ดาโอ (ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บมจ.เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR)ประกาศผลการดำเนินงานใน ไตรมาส 3/65 พลิกเป็นกำไรสุทธิอยู่ที่ +207 ล้านบาท ซึ่งเป็นการฟื้นตัวได้เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/64 ที่ขาดทุนสุทธิที่ -282 ล้านบาท และจาก 2Q22 ที่ -97 ล้านบาท ดีกว่าที่ตลาดคาดที่ +54 ล้านบาท เพราะมีรายได้พิเศษเข้ามาช่วยจาก Business interruption claim และ Head lease จำนวน 104 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว และมีภาษีรับจาก Tax loss carry forward เข้ามาช่วยอีก +35 ล้านบาท โดยหากตัดรายการดังกล่าวออกกาไรก็ยังดีกว่าที่ตลาดคาด +26% ขณะที่ SG&A to sale ลดลงได้ดีกว่าคาดมาอยู่ที่ 22% จาก 2Q22 ที่ 26%
ด้านรายได้จากธุรกิจโรงแรมโตได้ดีตามคาด โดย RevPar โดยรวมเพิ่มขึ้นได้ดีที่ +123% YoY และ +66% QoQ ส่วนใหญ่โตได้ดีจากที่ไทยเพิ่มขึ้นได้ดีถึง +673% YoY และ +26% QoQ แม้ว่าจะเป็นช่วง Low season เพราะได้ผลดีจากนักท่องเที่ยวต่างชาติโดย RevPar เพิ่มขึ้นได้ที่ +5% YoY และ +23% QoQ รวมถึง Outrigger มี RevPar ที่ฟื้นตัวได้ดีมาถึง +4598% YoY และ +37% QoQ หลังจากที่มีการเปิดประเทศ ส่วนที่มัลดีฟส์อยู่ในช่วง Low season มี RevPar เพิ่มขึ้นที่ +39% YoY แต่หดตัว -4% QoQ ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายยังคงเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นถึง +20% YoY และ +21% QoQ ตามทิศทางของแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น
บล.ดาโอ ปรับคำแนะนำ SHR ลงเป็น "ถือ" และปรับราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 4.20 บาท อิง DCF (WACC 7.6%, terminal growth 2.5%) จากเดิมที่ 5.00 บาท จากการปรับกำไรลดลงและ rollover ไปเป็นปี 2566 ถึงแม้ว่า SHR ประกาศกำไรในไตรมาส 3/65 ออกมาดีกว่าตลาดคาด แต่ต้นทุนพลังงานและดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้นจะกดดันกำไรในปี 2566 ซึ่งSHR มีความเสี่ยงจากต้นทุนค่าไฟฟ้าและก๊าซที่มีโอกาสสูงกว่าคาด และภาวะ Recession ในยุโรปรวมถึงโควิดสายพันธุ์ใหม่ซึ่งจะส่งให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวช้ากว่าคาด
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น +8% เมื่อเทียบกับ SET ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาจากกำไรไตรมาส 3/65 ที่ออกมาดี ขณะที่ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ 2022E EV/EBITDA ที่ 16x เทียบเท่า 4-yr average EV/EBITDA สูงกว่า MINT ที่ -1.0SD below 10-yr average EV/EBITDA และยังมีต้นทุนค่าไฟฟ้าและดอกเบี้ยจ่ายที่จะยังเพิ่มขึ้นได้อีกในปี 2566 เข้ามากดดัน ทำให้เราปรับลดคำแนะนำลงเป็น "ถือ"