โบรกเกอร์เชียร์ "ซื้อ" หุ้นบมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) คาดไตรมาส 4/65 มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่นรับปัจจัยหนุนจากฤดูกาลธุรกิจน้ำมัน และ สถานการณ์ราคาปาล์มที่ดีขึ้น ขณะที่ภาครัฐคลายมาตรการควบคุมราคาน้ำมัน และ ทิศทางราคาน้ำมันโลกที่ไม่สูงกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งช่วยหนุนให้บริษัทสามารถบริหารจัดการค่าการตลาดได้
ขณะที่ธุรกิจ Non-oil จะมีนัยสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจกาแฟ ซึ่งบริษัทคาดร้านกาแฟพันธุ์ไทยเพิ่มเป็น 631 สาขาในปีนี้ 926 สาขาในปี 66 และบริษัทคาดธุรกิจ Non-oil จะมีสัดส่วนกำไร 50% ภายในปี 69
ปิดเช้าราคาหุ้น PTG อยู่ที่ 14.10 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ ดัชนี SET +0.69%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ทิสโก้ ซื้อ 20.00 หยวนต้า ซื้อ 19.40 ดาโอ ซื้อ 18.50 ทรีนีตี้ ซื้อ 17.60 ฟิลลิป ซื้อ 17.60 พาย ซื้อ 17.50 นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ลงทุนหลักทรัพย์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) (DAOL) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/65 มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่น โดยได้รับปัจจัยหนุนจากฤดูกาลธุรกิจน้ำมัน และ สถานการณ์ราคาปาล์มที่ดีขึ้น นอกจากนี้ภาครัฐยังได้คลายมาตรการควบคุมราคาน้ำมัน และ ทิศทางราคาน้ำมันโลกที่ไม่สูงกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งช่วยหนุนให้บริษัทสามารถบริหารจัดการค่าการตลาดได้ สำหรับไตรมาส 3/65 คาดว่ากำไรจะสามารถเติบโตได้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณการขายน้ำมันที่ฟื้นตัวและค่าการตลาดทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่อย่างไรก็ตามอาจจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2/65 ที่มีค่าการตลาดสูงผิดปกติ และ ธุรกิจ palm complex ที่คาดขาดทุนมากขึ้นจากราคาปาล์มที่ปรับตัวลดลง โดยในไตรมาส 3/65 คาดว่าจะมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันอยู่ที่ 1,300 ล้านลิตร โดยมีการเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 15% หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย แต่ลดลง 7% จากช่วงไตรมาส 2/65 เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูฝน "เรายังมีมุมมองเชิงบวกกับ PTG โดยได้รับปัจจัยหนุนหลักจากปริมาณการขายน้ำมันในช่วงไตรมาส 4/65 จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ค่าการตลาดยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง และ ราคาปาล์มที่หยุดเป็นขาลง ในขณะเดียวกันภาครัฐได้ยกเลิกการใช้สูตรดีเซล B5 สูตรเดียว และกลับไปใช้ B7 ,B10, B20 จะทำให้สถานการณ์ราคาปาล์มดีขึ้นด้วย"นายมงคล กล่าว บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ เชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วเมื่อ ไตรมาส 4/64 และ Market cap ต่อสถานีที่ 12 ล้านบาท ต่ำกว่ามูลค่าสร้างใหม่ที่ 15-20 ล้านบาท สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/65 ยังคงท้าทาย เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมที่ยังไม่คลี่คลายอาจจะส่งผลต่อปริมาณการขายน้ำมันเพราะส่งผลต่อปริมาณสัญจรที่ลดลง แต่อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจจะค่อยๆ ปรับชึ้นในช่วงปลายปีจากความต้องการใช้เพิ่มขึ้นในช่วงหน้าหนาว ส่งผลให้อาจจะมีปรับราคาหน้าปั๊มน้ำมันชึ้นซึ่งดีต่อค่าการตลาอดของบริษัท ด้าน บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผู้บริหารยังคงมุมมองที่ดีต่อการเติบโตในปี 65 จากค่าการตลาดยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ทั้งปี 1.80-1.90 บาทต่อลิตร สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ 1.70-1.80 บาทต่อลิตร ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นมีผลกระทบเพียงเล็กน้อย หรือราว 1 ล้านลิตรต่อวันจากเฉลี่ยที่ 14-15 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งบริษัทคาดว่าจะยังสามารถเติบโตได้ตามเป้าที่ 6-10% ขณะที่ธุรกิจ Non-oil จะมีนัยสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจกาแฟ ซึ่งบริษัทคาดร้านกาแฟพันธุ์ไทยเพิ่มเป็น 631 สาขาในปีนี้ 926 สาขาในปี 66 และบริษัทคาดธุรกิจ Non-oil จะมีสัดส่วนกำไร 50% ภายในปี 69 แต่อย่างไรก็ตามในปีนี้จะคาดได้รับผลเชิงลบจากธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ในปีนี้อาจจะไม่ดีนักเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนสูตรน้ำมันดีเซลเป็น B5 และราคาต้นทุน/ขายที่ผันผวน แต่บริษัทคาดจะมีทิศทางที่ดีขึ้นในไตรมาส 4/65 หลังรัฐมีนโยบายปรับเปลี่ยนส่วนผสมของดีเซล สำหรับทิศทางกำไรสุทธิในไตรมาส 3/65 จะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่จะลดลงเมื่อเทียบไตรมาส 2/65 รับปัจจัยด้านฤดูกาลและภาวะน้ำท่วมที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณขายน้ำมันและปริมาณ LPG ขณะที่ค่าการตลาดอยู่ที่ 1.95 บาทต่อลิตร ลดลงเมื่อเทียบกับ 2.11 บาทในไตรมาส 2/65 แต่สูงกว่า 1.88 บาทในไตรมาส 3/64 ซึ่งยังมีทิศทางที่ดีจากการปรับราคาน้ำมันที่สอดคล้องกับตลาดโลกและต้นทุน แต่อย่างไรก็ตามธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ยังเป็นส่วนฉุดผลประกอบการของบริษัทเนื่องจากความผันผวนของต้นทุน ทำให้ธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ยังคงขาดทุน