นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดปี 66 กำไรจะเติบโตขึ้นอย่างโดดเด่น จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GPD ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ โดยจะเปิดดำเนินการ จำนวน 2 หน่วย เท่ากับ 1,325 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะเริ่มรับรู้กำไรของโครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generation ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 1,200 เมกะวัตต์ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ตั้งแต่ต้นปี
ขณะที่ผลประกอบการปี 65 ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ถึงแม้ราคาค่าก๊าซธรรมชาติจะสูงขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม GULF ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากสัดส่วนของปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมมีเพียง 13-14% ของปริมาณการขายไฟฟ้าทั้งหมดของกลุ่ม GULF
นอกจากนี้ GULF ได้มีการลงทุนในธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งในและต่างประเทศ เช่น ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศเวียดนาม ธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในต่างประเทศ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generation ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงการลงทุนในกลุ่ม INTUCH ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยงด้านรายได้ และส่งผลให้ GULF มีกำไรที่มั่นคงในระยะยาวอีกด้วย
ทั้งนี้ กำไรในไตรมาส 4/65 จะเติบโตจากโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) ซึ่งได้เปิดดำเนินการไปเมื่อวันที่ 1 ต.ค.65 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2 ซึ่งในไตรมาส 4 ถือเป็นช่วง High Season รวมถึงการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเต็มไตรมาสจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการ ภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3/65 มีรายได้รวม (Total Revenue) เท่ากับ 24,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 2-3 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) ในไตรมาส 4/64 และไตรมาส 1/65 และรายได้ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ประเทศเยอรมนีที่เพิ่มขึ้นจากราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ยสูงขึ้นเกือบเท่าตัว จาก 184 ยูโร/เมกะวัตต์ชั่วโมง เป็น 328 ยูโร/เมกะวัตต์ชั่วโมงในไตรมาสนี้ รวมถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ SPP ทั้ง 19 โครงการจากราคาขายไฟฟ้าที่สูงขึ้นตามราคาก๊าซธรรมชาติ
ในส่วนของกำไรขั้นต้นจากการขายในไตรมาส 3/65 เท่ากับ 4,466 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% หรือเพิ่มขึ้น 1,584 ล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/64 อย่างไรก็ตามอัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย (Gross Profit Margin) ในไตรมาสนี้ เท่ากับ 20.6% ลดลงจาก 24.6% โดยปัจจัยหลักมาจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจาก 268.61 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 3/64 เป็น 579.13 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาสนี้ หรือเพิ่มขึ้น 116% ในขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.6298 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง จาก -0.1532 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น 0.4766 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้า GBP GNPM GNRV2 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า SPP ภายใต้กลุ่ม GMP และ โครงการโรงไฟฟ้า GUT ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม GJP ได้มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ (B Inspection) ในไตรมาสนี้
กำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) ในไตรมาส 3/65 เท่ากับ 2,167 ล้านบาท ลดลง 126 ล้านบาท หรือ 6% จากไตรมาส 3/2564 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบจากราคาก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นตามที่กล่าวข้างต้น และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ลดลง 556 ล้านบาท (ในไตรมาส 3/64 GULF รับรู้เงินปันผลรับจาก INTUCH จำนวน 1,667 ล้านบาท ในขณะที่ ในไตรมาส 3/65 GULF ได้มีการเปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชีของ INTUCH เป็นส่วนแบ่งกำไร จำนวน 1,111 ล้านบาท) นอกจากนี้ PTT NGD มีผลขาดทุนจำนวน 221 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันเตาต่ำลง ประกอบกับราคาก๊าซสูงขึ้น (โครงสร้างรายได้ของ PTT NGD ผูกกับราคาน้ำมันเตา ในขณะที่ต้นทุนอ้างอิงตามราคาก๊าซ) อย่างไรก็ตาม โครงการโรงไฟฟ้า GSRC มีผลกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของหน่วยที่ 2-3 และผลประกอบการที่ดีขึ้นของโครงการโรงไฟฟ้า BKR2 จึงส่งผลให้ภาพรวมของกำไรจากการดำเนินงานอ่อนตัวลงเพียงเล็กน้อย
กำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 3/65 (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับ 1,087 ล้านบาท ลดลง 32% จาก 1,588 ล้านบาทในไตรมาส 3/64 เนื่องจากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 7.3% จาก 35.46 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาส 2/65 มาเป็น 38.07 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาส 3/65 ในขณะที่ในไตรมาส 3/64 ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเพียง 5.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว เป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของบริษัทฯ แต่อย่างใด ณ วันที่ 30 ก.ย.65 GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.96 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.89 เท่า ณ วันที่ 30 มิ.ย.65 เนื่องจาก GULF ได้มีการออกหุ้นกู้จำนวน 35,000 ล้านบาท ในเดือนส.ค.65 เพื่อนำไปใช้ขยายธุรกิจ และชำระคืนเงินกู้บางส่วน