นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บมจ.ไรมอน แลนด์ (RML) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/65 ของบริษัทขาดทุนลดลงมาที่ 47.6 ล้านบาท ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีขึ้นจากไตรมาส 2/65 ที่ขาดทุน 193 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้จาก Backlog โครงการเดอะ ลอฟท์ สีลม และยังมีรายได้ประจำจากค่าบริหารโครงการ และค่าธรรมเนียมการตลาด ส่วนผลประกอบการดีขึ้นจากไตรมาสก่อนมาจากส่วนแบ่งกำไรโครงการ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ คอนโดมิเนียมอัลตร้าลักชัวรี่หนึ่งเดียวใจกลางถนนสุขุมวิท ที่สร้างเสร็จและเริ่มโอนตั้งแต่ไตรมาส 3/65 ซึ่งโครงการนี้อยู่ภายใต้การร่วมทุนระหว่าง ไรมอน แลนด์ และ บริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ จำกัด โดยมียอดขายแล้วถึง 75% และเริ่มมีการทยอยโอนอย่างรวดเร็วซึ่งส่งผลให้บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรอย่างต่อเนื่อง
โดยบริษัทคาดว่าปีนี้จะทำยอดโอนได้ราว 2,000 ล้านบาทตามเป้าที่วางไว้ ส่วนอีกหนึ่งโครงการภายใต้การร่วมทุนกับ โตเกียว ทาเทโมโนะ คือ เทตต์ สาทร ทเวลฟ์ คอนโดมิเนียมลักชัวรี่ ใจกลางสาทร ก็มียอดขายแล้วกว่า 85% ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีเนื่องจากลูกค้ามีความเชื่อมั่นในแบรนด์ของทั้งสองบริษัท โดย ไรมอน แลนด์ เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงด้านการเป็นผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่และซุปเปอร์ลักชัวรี่ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญยาวนานกว่า 35 ปี และโตเกียว ทาเทโมโนะก็เป็นผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่น
นอกจากนี้ในปีนี้บริษัทจะทยอยรับรู้ยอดขายรอโอน (Backlog) ซึ่ง ณ วันที่ 30 ก.ย. 65 บริษัทมี Backlog มูลค่า 6.1 พันล้านบาท โดยเป็น Backlog จากโครงการ ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ ที่สร้างเสร็จพร้อมโอน มูลค่า 2.7 พันล้านบาท และ Backlog โครงการระหว่างก่อสร้าง เทตต์ สาทร ทเวลฟ์ มูลค่า 3.4 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่องในปี 66
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทมุ่งมั่นการเทิร์นอะราวด์ ให้รับรู้รายได้เร็ว สร้างสมดุลและกระจายรายได้ทั้งอสังหาฯ และรายได้ประจำมากขึ้น โดยต้นปีเตรียมเปิดให้บริการอาคารสำนักงานเกรดเอที่สูงที่สุดในไทย วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์ (OCC) บนทำเลศักยภาพติดบีทีเอสเพลินจิต ซึ่งเป็นโครงการเมกะโปรเจคที่เป็นการร่วมทุนระหว่าง ไรมอน แลนด์ และมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น หลังจากเปิดให้บริการจะเป็นปัจจัยหนุนให้ ไรมอน แลนด์ มีรายได้ประจำและกระแสเงินสดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง (Recurring Income)
นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งเน้นกลยุทธ์ธุรกิจ Asset light โดยจะร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นเจ้าของที่ดิน นำที่ดินมาพัฒนาโครงการร่วมกัน ซึ่งกลยุทธ์นี้จะช่วยให้บริษัทสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ ในรูปแบบ Branded Residence 2 แห่ง โดยปี 66 ตั้งเป้ายอดขายบริษัทอยู่ที่ 8.2 พันล้านบาท
อย่างไรก็ดีสำหรับการลงทุนเปิดโครงการต่างๆนั้น บริษัทมีแหล่งเงินทุนมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน การหาพันธมิตรมาร่วมลงทุนในโครงการ และการออกหุ้นกู้ โดยบริษัทได้ยื่นไฟลิ่งสำหรับการออกหุ้นกู้ครั้งที่ 2 ในเดือนต.ค. 65 ที่ผ่านมา มูลค่ารวม 250 ล้านบาท ซึ่งจะขายในเดือนพ.ย. 65 และมีแผนจะออกหุ้นกู้ครั้งที่ 3 มูลค่ารวมไม่เกิน 400 ล้านบาท ภายในปลายปี 65 ซึ่งทั้งหมดบริษัทคาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีและได้รับความสนใจจากนักลงทุนเช่นเดียวกับหุ้นกู้ที่ออกเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่ารวม 1.05 พันล้านบาท ที่ขายหมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อบริษัท