นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 65 ไว้ที่ 15% โดยคาดว่าผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/65 จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากทุกๆธุรกิจของบริษัทที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมโลจินติกส์ ทั้งในส่วนของคลังสินค้าทั่วไป และ คลังสินค้าห้องเย็น
ขณะที่ธุรกิจห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างวางแผนขยายการลงทุนร่วมกับ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ที่เป็นพาร์ตเนอร์ และ Fuze Post (ฟิ้วซ์ โพสต์) ในการขยายสาขาใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ได้เริ่มเปิดให้บริการสาขาที่พัทยาไปแล้ว และสาขาที่ 8 ที่บางซื่อ อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง ด้านธุรกิจให้บริการขนส่งด่วนแบบควบคุมอุณหภูมิที่บริษัทร่วมทุนกับไปรษณีย์ไทยและแฟลช เอ็กซ์เพรส คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้านธุรกิจขนส่งสินค้า และธุรกิจรับขนย้ายนั้น ด้วยการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ประกอบกับจากการเข้ามาลงทุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ของประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันบริษัทรับหน้าที่ขนส่งยานยนต์ BYD และมีแผนที่จะทยอยส่งมอบสินค้าจำนวนมากในช่วงปลายปี 65 นี้ อีกทั้งยังมองว่าธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ยังได้รับอานิสงส์ดังกล่าวตามการขยายตัวของการเข้ามาลงทุนในไทยอีกด้วย
นายชวนินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่าธุรกรรมการรวมกิจการโดยการแลกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทกับหุ้นสามัญของบริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SCGL) บริษัทย่อย 98.2% ของบมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เข้าด้วยกันโดยการแลกหุ้นสามัญของ SCGL กับหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ JWD คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางไตรมาส 1/66
โดยหลังจากที่การรวมกิจการแล้วเสร็จจะส่งผลให้บริษัทก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน ที่ประกับธุรกิจ 9 ประเทศ บวกกับอีก 1 ประเทศจีน ซึ่งจะนำจุดแข็งของทั้งสองบริษัทเข้ามาช่วยสนับสนุนการเติบโต ในขณะเดียวกันยังสามารถสร้าง Synergy การลดต้นทุนทางการเงิน รวมไปถึงการทำกลยุทธ์ Upselling และ Cross-selling ด้วย
ทั้งนี้ในปี 66 หลังจากการรวมกิจการแล้วเสร็จ จะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการก่อหนี้ได้เพิ่มขึ้นอีกกว่า 10,000-15,000 ล้านบาท และ บริษัทเตรียมที่จะจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ซึ่งจะเป็นแหล่งเงินทุนที่เข้ามาเพื่อรองรับการขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทจะเริ่มกลับมาพิจารณาแผนการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และ ร่วมลงทุน (JV) อีกครั้ง โดยปัจจุบันมีดีลที่มีศักยภาพในมือกว่า 6 ดีล และคาดว่าจะทยอยเห็นความชัดเจนตั้งแต่ช่วงกลางปี 66 เป็นต้นไป
นายชวนินทร์ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ล้านบาท ในปี 70 จาก ณ วันที่การแลกหุ้นสามัญแล้วเสร็จคาดว่าจะมี Market Cap ราว 43,500 ล้านบาท ด้วยผลักดันให้ผลประกอบการเติบโตไม่ต่ำกว่า 1 เท่าตัวภายในระยะเวลา 5 ปี ต่อจากนี้ โดยเฉพาะการขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง