นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Fund) กล่าวว่าการที่อัตราเงินเฟ้อโดยเฉพาะในสหรัฐฯ ทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและพื้นฐานที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 40 ปี ที่ 8.2% และ 6.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของยุโรปเพิ่มขึ้นเกือบ 10% เทียบปีก่อน ทำให้คณะกรรมการการเงินทั้งสหรัฐฯ และยุโรปเลือกขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและรุนแรงโดยมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่หมัด อย่างไรก็ดีปฏิเสธไม่ได้ว่าการขึ้นดอกเบี้ยที่รวดเร็วและรุนแรงจนล่าสุดอยู่ที่ 4% และ 2% และมีโอกาสปรับเพิ่มเป็น 5-5.25% และ 3% ตามลำดับนั้น ย่อมส่งผลทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหดตัวลง หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ขึ้นว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มโตช้าลง โดยนักเศรษฐกิจคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปมีโอกาส 60% และ 80% ตามลำดับที่จะถดถอยในปีหน้า
ในด้านผลตอบแทนของตลาดหุ้นถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2565 นั้น แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงแรงตั้งแต่ต้นปี แต่หากเทียบกับสิ้นปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดการระบาดของโรค COVID-19 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังปรับตัวขึ้น 18% สวนทางกับภาพเศรษฐกิจที่อยู่ในแนวโน้มขาลงและอาจถดถอยได้ในปีหน้า นอกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ แล้ว ตลาดหุ้นญี่ปุ่นก็ปรับเพิ่มขึ้น 13% จากเศรษฐกิจที่กลับมาขยายตัว และนโยบายการเงินที่ยังคงผ่อนคลายอย่างมาก ขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียเพิ่มขึ้นกว่า 45% จากเศรษฐกิจที่เน้นการบริโภคในประเทศ และนโยบายการเงินการคลังที่สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่หุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 3% ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน สวนทางกับเศรษฐกิจอยู่ในระยะเริ่มต้นของการฟื้นตัว และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะในปีหน้า หนุนโดยการกลับเข้ามามากขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ทำจุดสูงสุดใหม่ ที่ 3.46 แสนล้านบาท ในไตรมาส 2/2565 และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องอีก 6% ในปีหน้า นำโดยกลุ่มค้าปลีก ขนส่ง ท่องเที่ยว อาหารและเครื่องดื่ม และรับเหมาก่อสร้าง
รวมถึงการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ (foreign fund flow) ที่ขายหุ้นสุทธิไทยกว่า 3.5 แสนล้านบาทนับจากช่วงที่เกิด COVID-19 แต่เพิ่งซื้อสุทธิกลับมาเพียง 1.7-1.8 แสนล้านบาทเท่านั้น ทำให้ยังมี room ในการกลับมาซื้ออีกมาก นอกจากนิ้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นอีกปัจจัยที่ดึงดูดความน่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติ
และหากพิจารณาในรายละเอียดของตลาดหุ้นไทยจะพบว่าตลาดหุ้นไทยที่กำไรเกือบ 60% มาจากหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน ค้าปลีก และสื่อสาร ที่ล้วนได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการเลือกตั้งที่มีโอกาสเกิดขึ้นในกลางปีหน้า ด้าน valuation นายมนรัฐมองว่า forward P/E ในระยะ 12 เดือนข้างหน้าของ SET Index ที่ 15 เท่า อยู่ในระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจ เทียบกับดัชนี S&P500 และ SENSEX ที่มี forward P/E 16.2 และ 21 เท่าตามลำดับ
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนหุ้นไทย LH Fund มีกองทุน LHSTRATEGY ซึ่งมีนโยบายลงทุนหุ้นไทยแบบ active low beta กล่าวคือปกป้องความเสี่ยงขาลงจากประโยชน์ของหุ้น low beta ที่ปรับตัวลงน้อยกว่าในยามที่ดัชนีปรับตัวลดลง และสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีในยามดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นผ่านการเลือกบริษัทที่จะลงทุนอย่าง active และปรับน้ำหนักได้ทันสถานการณ์ และ LHSTRATEGY ยังมีให้เลือกหลาย Class การลงทุน ได้แก่ LHSTRATEGY-A, LHSTRATEGY-D, LHSTRATEGY-R และสำหรับผู้ที่ต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษีก็มี LHSTRATEGY-ASSF และ LHSTRATEGY-DSSF