นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เปิดเผยว่า บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจร้านอาหาร ภายใต้แบรนด์ โอ้กะจู๋ ที่ OR ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนราว 20% มีแผนจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 67 โดยเบื้องต้น OR คาดว่าจะคงสัดส่วนหุ้นภายหลังการเพิ่มทุนในระดับใกล้เคียงเดิม
นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อใช้ลงทุนใน 3 ส่วน ได้แก่ การขยายสาขาแบรนด์ "โอ้กะจู๋", ขยายแบรนด์ร้านอาหารใหม่ๆ , พัฒนาแฟลตฟอร์มรองรับการขาย, ขยายฟาร์ม และใช้คืนหนี้สินบางส่วน
ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียนราว 225 ล้านบาท โดยจะมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 80 ล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
บริษัทวางเป้าหมายรายได้ในปี 67 เติบโตแตะ 2,000 ล้านบาท จากปีนี้คาดทำได้ 1,200 ล้านบาท เป็นไปตามการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 67 คาดเพิ่มอีก 6 สาขา และในปี 66 ก็มีแผนเพิ่มอีกจำนวน 6 สาขา โดยจะเน้นไปที่ภาคตะวันออกและกรุงเทพฯ จากปัจจุบันมีสาขาหลักอยู่ทั้งสิ้น 18 สาขา ส่วนการขยายสาขาผ่านปั๊มน้ำมัน ปตท. ในปีหน้าคาดเพิ่มอีก 80 สาขา จากปีนี้มีอยู่ 44 สาขา
บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด เป็นผู้ดำเนินกิจการร้านอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ "โอ้กะจู๋" มีจุดเด่นในเรื่องความสดใหม่ของผักที่ปลูกด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ และส่งตรงจากฟาร์มผักขนาดใหญ่ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเมื่อปี 64 ที่ผ่านมา OR ได้เข้าลงทุนในบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด เพื่อเพิ่มความหลากหลาย และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีไลฟ์สไตล์ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ
ตลอดจนเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการ SME และเกษตรกรผู้ปลูกผักในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการที่มีโอกาสเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านทางสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และ ร้าน Cafe Amazon ที่มีสาขาทั่วประเทศ สอดคล้องกับนโยบายการดำเนินธุรกิจของ OR ที่มุ่งสร้างคุณค่าร่วมให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้ผู้บริโภค พร้อมทั้งช่วยสนับสนุนและสร้างผู้ประกอบการรายย่อย (SME) ในการดำเนินธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ (Non-Oil) ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจชุมชนในทุกพื้นที่ที่ OR เข้าไปดำเนินธุรกิจ
นายสุชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในธุรกิจหลัก หรือสถานีบริการปั๊มน้ำมัน ปตท. ปัจจุบันยอดขายน้ำมันผ่านสถานีบริการน้ำมันปตท. และส่วนแบ่งการตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการท่องเที่ยวฟื้นตัว การเดินทางกลับมาดีขึ้น ประกอบกับภายในปั๊มน้ำมัน ถือว่ามีครบ (One Stop Service) ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ครบทุกด้าน โดยจะเห็นได้ว่าจำนวนผู้มาใช้บริการปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 แล้ว ซึ่งล่าสุดมีจำนวนผู้มาใช้บริการเฉลี่ยเกือบ 4 ล้านคนต่อวัน จากเดิมที่อยู่ราว 3 ล้านคนต่อวัน ส่งผลให้ทั้งปี คาดว่ายอดขายฯ และส่วนแบ่งการตลาดจะเติบโตดีกว่าปี 64
ส่วนแนวโน้มยอดขายน้ำมันฯ ในปี 66 คาดว่าจะเติบโตกว่าปีนี้ จากแผนขยายสถานีบริการน้ำมันที่คาดใกล้เคียงกับปีนี้ หรือราว 100 สาขา จากปัจจุบันที่มีจำนวน 1,957 แห่ง และร้านคาเฟ่อเมซอนเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 400 สาขา จากปัจจุบันที่มีจำนวน 3,927 สาขา ขณะที่แผนการขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คาดว่าภายในช่วงสิ้นปีนี้จะมีประมาณ 300 จุด ซึ่งมองว่าครอบคลุมในเส้นทางสายหลักๆ แม้อาจลดลงกว่าเป้าเดิมที่วางไว้ 500 จุด เนื่องจากการแข่งขันและความต้องการอุปกรณ์ชาร์จไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าในปี 66 จะขยายสถานีชาร์จ EV เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 500 จุด และรวมทั้งหมดเป็น 800 จุด
ทั้งนี้ OR ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Mobility & Lifestyle มุ่งตอบสนองผู้บริโภค เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และช่องทางการจำหน่าย ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งสร้างโอกาสในการเติบโตร่วมกันกับพันธมิตรในแบบ inclusive growth ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการดำเนินธุรกิจของ OR ที่มุ่งเน้นเติบโตในแบบ Outside-In โดยแสวงหาโอกาสการลงทุนในตลาดใหม่ๆ ร่วมกับพันธมิตร
อีกทั้ง OR ยังคงให้ความสำคัญกับ 3P หรือ สังคมชุมชน (People) สิ่งแวดล้อม (Planet) และผลประกอบการ (Performance) อย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำวิสัยทัศน์ Empowering All toward Inclusive Growth หรือ เติมเต็มโอกาสเพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน
นางสาวราชสุดา รังสิยากูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการโครงการ ORion บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจใหม่ บริษัทฯ อยู่ระหว่างมองหาธุรกิจใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Health & Wellness, F&B, Tourism, Empowering SMES เพื่อเข้าลงทุนทั้งในรูปแบบซื้อกิจการ M&A และการร่วมลงทุน JV คาดว่าจะเห็นภาพชัดเจนได้ภายในปี 66 เพื่อเข้ามาต่อยอดแพลตฟอร์ม All in one app ซึ่งจะเปิดตัวได้ในช่วงต้นปีหน้า และสร้างตลาดบนโลกออนไลน์ เชื่อมออฟไลน์กับออนไลน์เข้าด้วยกัน