นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ.ไวส์ โลจิสติกส์ (WICE ) เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจช่วงไตรมาส 4/2565 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยมีปริมาณความต้องการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นธุรกิจ ครอบคลุมการให้บริการขนส่งทั้ง 4 กลุ่มของบริษัท อีกทั้งบริษัทยังคงติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่จะส่งผลต่อราคาต้นทุนพร้อมปรับกลยุทธ์เพื่อรับมืออย่างใกล้ชิด
สำหรับแผนการดำเนินงาน บริษัทมุ่งเน้นเพิ่มปริมาณการขนส่งไปยังกลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ยังมีปริมาณที่ดีแม้ในช่วงที่ผ่านมาประเทศสหรัฐฯ จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้ยอดการนำเข้าสินค้าต่างประเทศลดลง โดยปัจจุบันบริษัทสามารถขนส่งสินค้าได้จำนวน 7,679 TEUS จากเป้าหมายที่วางไว้ 10,000 TEUS
ขณะเดียวกัน บริการขนส่งสินค้าร่วมกับบริษัทในเครือ จำนวน 9 แห่ง ประกอบด้วย WICE Logistics (Singapore) Pte.Ltd., WICE Logistics (Malaysia) Sdn.Bhd. (สาขากัวลาลัมเปอร์, ยะโฮร์ บาห์รู และ ปีนัง), WICE Logistics (Hong Kong) Ltd. (สาขาฮ่องกง, เซี่ยงไฮ้, กวางโจว, เซินเจิ้น และ หนิงโป) เพื่อเพิ่มปริมาณการขนส่งระหว่างประเทศกลุ่มอาเซียน-จีน และ จีน-สหรัฐอเมริกา รวมถึงรองรับการย้ายฐานการผลิตของประเทศจีนในประเทศไทย อีกทั้งยังสามารถลดต้นทุนการขนส่ง อาทิ ค่าระวางเรือ และ ค่าเชื้อเพลิงการขนส่ง โดยบริษัทสามารถขนส่งจำนวน 2,511 TEUS จากเป้าหมายที่วางไว้ 3,000 TEUS
ขณะที่ บริการขนส่งข้ามแดน (Cross Border Service) ภายใต้การบริหารงานบริษัท ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ จำกัด (บริษัทย่อย) มีปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการคลี่คลายของสถานการณ์โควิด-19 อีกทั้งยังคงติดตามสถานการณ์ล็อกดาวน์ในประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2566 และ จากแนวโน้มความต้องการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้น บริษัทมีแผนการขยายเส้นทางการขนส่งร่วมกับบริษัทในเครือ ทั้งการเพิ่มปริมาณขนส่งของลูกค้า การขยายเส้นทางการขนส่งในประเทศใกล้เคียงที่มีการเติบโตของเศรษฐกิจ
ด้านบริษัท ไวส์ ซัพพลายเชน โซลูชั่นส์ จำกัด ผู้ให้บริการด้านซัพพลายเชนโซลูชั่นส์แบบครบวงจร ทั้งงานคลังสินค้า การกระจายสินค้า การขนส่งสินค้า (Equipment) ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ยังคงเดินหน้าตามแผนงานเพื่อรองรับปริมาณความต้องการใช้คลังสินค้า รวมถึงการให้บริการจัดการคลังสินค้าแบบออนไซต์ (Onsite Warehouse Management) อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่คลังสินค้าทั้งหมดจำนวน 30,000 ตร.ม.
"บริษัทยึดมั่นในการพัฒนาบริการขนส่งร่วมกับบริษัทในเครือ โดยมีจุดเด่นคือการมีเส้นทางการขนส่งที่ครอบคลุมทั่วพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้บริษัทมุ่งเน้นติดตามและประเมินแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโลจิสติกส์และบริษัทอยู่เสมอ เพื่อรักษาอัตรากำไรให้อยู่ในระดับที่ดี" นายชูเดช กล่าวเพิ่มเติม
ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 65 บริษัทมีรายได้รวม 5,851 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 5,279 ล้านบาท จำนวน 572 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 10.83 % และ มีกำไรสุทธิ 458 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 355 ล้านบาท จำนวน 103 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 29%
ไตรมาส 3/65 บริษัทมีรายได้รวม 1,610 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,284.73 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 130 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 162 ล้านบาท