นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เปิดเผยว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/65 จำนวน 181 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 179.6% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 65 ล้านบาท
บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 45,171 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.7% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีรายได้ 30,585 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้จากธุรกิจน้ำมันที่มีสัดส่วนหลัก 94.3% ของรายได้รวมทั้งหมด เติบโตขึ้น 45.6% มาอยู่ที่ 42,615 ล้านบาท หลังจากราคาน้ำมันขายปลีกหน้าสถานีบริการเฉลี่ยอยู่ที่ 33.32 บาท/ลิตร เพิ่มขึ้น 26% และปริมาณการขายน้ำมันผ่านทุกช่องทางเพิ่มขึ้น 15.5% มาที่ 1,278 ล้านลิตร
ขณะที่รายได้จากธุรกิจ Non-Oil ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสร้างยอดขาย 2,556 ล้านบาท เติบโต 95.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ประกอบด้วย ธุรกิจก๊าซ LPG ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท แอตลาส เอ็นเนอยี จำกัด (ATL) และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มภายใต้ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด (PUN) และธุรกิจอื่น ๆ ได้แก่ ร้านสะดวกซื้อ Max Mart ธุรกิจน้ำมันเครื่อง และธุรกิจศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs
ปัจจุบัน PTG มีสาขาของธุรกิจ Non-Oil รวมทั้งสิ้น 1,405 สาขา เพิ่มขึ้น 327 สาขา หรือเติบโต 30.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
นายพิทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงทิศทางที่เหลือของปีว่า บริษัทยังคงยืนเป้าหมายการทำธุรกิจในปีนี้เหมือนเดิมเช่น EBITDA เติบโต 15-20% ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันจะเติบโต 6-10% ปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG จะเติบโต 50-60% ยอดขาย Non-Oil จะเติบโต 80-90% และใช้งบลงทุน 3,000-4,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทจะเดินหน้าในการเสริมสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจให้แข็งแรง โดยการร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้ค้ารายต่าง ๆ เพื่อให้บริษัทสามารถมอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าได้อย่างครอบคลุม และสามารถใช้ชีวิตภายใต้ระบบนิเวศของบริษัทได้อย่าง "อยู่ดี มีสุข" เช่นการเปิดตัวแอปพลิเคชัน Max Me ที่จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ลูกค้าสมาชิกบัตร PT Max Card ที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า 18 ล้านสมาชิก สามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือในยุคดิจิตอลไลฟ์สไตล์ สอดคล้องกับยุคสังคมไร้เงินสด (Cashless Society)