นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) และนายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ร่วมลงนามในสัญญาแต่งตั้ง บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Lead Underwriters) พร้อมแต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 10 ราย ประกอบด้วย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง, บล. กรุงศรี , บล.โกลเบล็ก, บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) , บล.ดาโอ (ประเทศไทย) , บล.ทรีนีตี้ , บล.บัวหลวง , บล.บียอนด์ , บล.เอเซีย พลัส และ บล.ไอร่า
บริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนรวมไม่เกิน 660,000,000 หุ้น โดยกำหนดช่วงราคาเสนอขาย 30-32 บาทต่อหุ้น และเตรียมเปิดให้ผู้ถือหุ้นของ บมจ.ไทยยูเนี่ยน (TU) ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นจองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 22-24 พ.ย.65 และสำหรับนักลงทุนรายย่อยสามารถจองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 22-25 พ.ย.65 โดยผู้จองซื้อต้องชำระราคาค่าจองซื้อที่ 32 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขาย โดยมีกำหนดประกาศราคาสุดท้ายในวันที่ 28 พ.ย.65 และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหมวดอาหารและเครื่องดื่มภายในเดือน ธ.ค.นี้ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "ITC"
นายสมภพ เปิดเผยว่า ช่วงราคาเสนอขายหุ้นสามัญของ ITC ที่ 30-32 บาทต่อหุ้น ถือเป็นช่วงราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดย ITC ถือเป็นหนึ่งในผู้นำผู้ประกอบธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลกที่มุ่งเน้นนวัตกรรม การวิจัยและพัฒนารวมถึงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ร่วมกับลูกค้า หรือ Co-Creation ส่งผลให้ได้รับการยอมรับและไว้วางใจจากลูกค้าที่เป็นแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก เช่น Mars Petcare, Smucker?s และมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจมาอย่างยาวนาน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในการจัดหาวัตถุดิบ โดยเฉพาะปลาทูน่า จากการเป็นบริษัทในกลุ่ม TU รวมถึงประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกเนื้อไก่แปรรูปรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ทำให้ ITC สามารถจัดหาวัตถุดิบในราคาที่แข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการที่บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับที่โดดเด่น
โดยในปี 64 และงวด 9 เดือนปี 65 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นเสมือน 23.1% และ 25.9% ตามลำดับ และมีอัตรากำไรสุทธิเสมือน 18.6% และ 23.2% ตามลำดับ
จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากกระแสความนิยมในการเลี้ยงสัตว์เหมือนสมาชิกในครอบครัว การเพิ่มขึ้นของจำนวนครัวเดี่ยวรวมถึงคู่สามีภรรยาที่ไม่มีบุตรซึ่งมีแนวโน้มในการเลี้ยงสัตว์มากขึ้น ส่งผลให้หุ้นของ ITC ได้รับความสนใจและตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั่วโลก โดยมีนักลงทุนสถาบันคุณภาพที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวนรวม 27 ราย แบ่งเป็นผู้ลงทุนสถาบันที่เป็น Cornerstone Investors ในประเทศไทย จำนวน 19 ราย และผู้ลงทุนสถาบันที่เป็น Cornerstone Investors ในต่างประเทศ จำนวน 8 ราย คิดเป็นจำนวนหุ้นรวม 333.77 ล้านหุ้น หรือประมาณ 50.57% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้
ขณะที่ นายพิชิตชัย เปิดเผยว่า แผนการระดมทุนในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตให้กับบริษัทฯ โดยเตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนทั้งสิ้น 19,800-21,120 ล้านบาท ไปใช้เป็นเงินทุนในการปรับปรุงโรงงานทั้งสองแห่งให้ทันสมัยด้วยระบบและเครื่องจักรอัตโนมัติเพื่อขยายกำลังและประสิทธิภาพการผลิต ขยายระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการผลิต พร้อมลงทุนในระบบคลังสินค้าและติดฉลากอัตโนมัติ รวมถึงต่อยอดศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขยายธุรกิจ ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนให้กับบริษัทฯ
สำหรับกลยุทธ์การเติบโตในอนาคตของ ITC จะมุ่งขยายส่วนแบ่งทางการตลาดและฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ขยายทีมขายและทีมสนับสนุนทางธุรกิจในประเทศที่เป็นตลาดหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน ควบคู่กับการขยายธุรกิจไปยังตลาดที่มีโอกาสในการเติบโต โดยเฉพาะประเทศจีนที่ผู้คนหันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้น พร้อมขับเคลื่อนยอดขายผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่เน้นสุขภาพและโภชนาการ ตลอดจนกระบวนการดำเนินงาน รวมถึงการวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับสารอาหาร วัตถุดิบ เทคโนโลยี และบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน
นอกจากนั้น เรายังตั้งเป้ามุ่งสู่ความเป็นเลิศในการดำเนินงาน โดยใช้เครื่องจักรอัตโนมัติในระบบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุนการผลิต และลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน มุ่งใช้พลังงานทดแทน โดยติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพิ่มเติมในโรงงาน ด้วยเป้าหมายที่จะใช้แหล่งพลังงาน 30% ของพลังงานที่จำเป็นสำหรับโรงงานผลิตมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ภายในปี 67