นายกันย์ ศรีสมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน และรองประธานฝ่ายการเงินและบริหาร บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการทำแผนการดำเนินงานปี 66 โดยเบื้องต้นบริษัทคาดว่าผลประกอบการจะมีการเติบโตได้ค่อนข้างดี โดยได้รับปัจจัยหนุนทั้งจากธุรกิจโรงแรม และ ธุรกิจร้านอาหาร หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้การเดินทางระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากเที่ยวบินต่างๆที่เริ่มฟื้นตัวมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้บริษัทยังคงติดตามสถานการณ์ในประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง และมีความคาดหวังว่าจะเริ่มกลับมาเปิดประเทศได้ในปี 66 ซึ่งบริษัทคาดหวังว่าจะเข้ามาสนับสนุนจำนวนนักท่องเที่ยวให้มีการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลังปี 66
ทั้งนี้บริษัทได้วางงบลงทุนในปี 66 ไว้ราว 6,000 ล้านบาท เพื่อที่จะใช้ในการขยายสาขาร้านอาหารในเครือ รวมไปถึงการขยายและปรับปรุงโรงแรม จากที่ก่อนหน้านี้ทางบริษัทได้ชะลอการลงทุนไปเนื่องจากไม่มีความมั่นใจต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีงบลงทุนสำหรับรองรับการเข้าซื้อกิจการ(M&A) เข้ามาเพิ่มเติมด้วย
สำหรับแผนการขยายโรงแรมในช่วงระยะเวลา 5 ปีต่อจากนี้ (65-69) มีทั้งหมด 42 แห่ง รวมมีจำนวนห้องเพิ่มขึ้นอีก 9,141 ห้อง แบ่งเป็นการขยายโรงแรมในรูปแบบการเป็นเจ้าของเอง และ ร่วมลงทุน จำนวน 4 แห่ง ส่วนที่เหลืออีก 38 แห่ง เป็นรูปแบบของการรับจ้างบริหาร โดยการขยายโรงแรงส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศเมียนมา สปป.ลาว ประเทศจีน และ ญีปุ่น เป็นต้น
ขณะที่ทิศทางประกอบการในช่วงที่เหลือของปี 65 บริษัทคาดว่าผลประกอบการจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นที่ประชาชนออกมาเฉลิมฉลองในเทศกาลต่างๆ ส่งผลให้มีการเติบโตในธุรกิจอาหาร ที่ยอดขายต่อสาขาเดิม (SSS) มีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันยังมีการปรับราคาอาหารเพื่อชดเชยต้นทุนที่ปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมาด้วย
ด้านธุรกิจโรงแรม ยังได้รับปัจจัยหนุนจากทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ ที่มีการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 64% โดยทั้งปีคาดว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยจะสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 45-50% หลังจากในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 46% แล้ว
ในส่วนของการปรับค่าแรงขั้นต่ำทางบริษัทได้มีการทำประมาณการไว้เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าในธุรกิจโรงแรมจะมีผลกระทบไม่ถึง 0.1% และ ในส่วนของธุรกิจอาหารราว 0.3% ซึ่งบริษัทจะมีการปรับค่าบริการต่างๆให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น