ทั้งนี้บริษัทยังคงมุ่งเน้นการขยายในส่วนของการขนส่งทางทะเล (Sea Freight) ไปในประเทศจีน และสหรัฐฯ โดยในประเทศจีน คาดว่าจะมีการเปิดประเทศในปี 66 ในช่วงหลังเทศกาลตรุษจีนเป็นต้น ซึ่งการเติบโตของจีนก็น่าจะกลับมาเป็นปกติได้ ส่งผลให้วอลุ่มสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศจีนทั้งสิ้น 4 เมืองใหญ่ ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็น เซียงไฮ้, หนิงโป, กวางเจา, เซินเจิ้น เป็นต้น บริษัทฯ ก็เตรียมโปรโมทงานในส่วนของตลาดจีน โดยเฉพาะเส้นทางหลักจากจีนไปสหรัฐฯ และจีนมาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเพิ่มวอลุ่มการขนส่งทางทะเลในอนาคต
ขณะที่สินค้าหลักที่จะมุ่งเน้น ประกอบด้วย Home appliance, Automotive Parts, Furniture และ Retail ส่วนปัจจัยสำคัญของการทำการตลาดก็จะเน้นในเรื่องของ Cost Management, Integrated Services
การขนส่งระหว่างประเทศทางอากาศ (Air Freight) บริษัทฯ จะมุ่งเน้นขยายตลาดในเอเชียเป็นหลัก โดยเฉพาะมาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย ฮ่องกง จีน ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น ประกอบกับมองการย้ายฐานการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออกจากจีนมาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยส่วนใหญ่จะย้ายเข้ามาในปีนัง ประเทศมาเลเซีย เนื่องจากเป็นฐานการผลิตใหญ่ของตลาดอิเล็กทรอนิกส์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นโอกาสที่ WICE จะเข้าไปพัฒนาตลาดดังกล่าว จากมีความพร้อมอยู่แล้ว เนื่องด้วยบริษัทมีสำนักงานในมาเลเซีย มีการให้บริการ รวมถึงมีฐานลูกค้าที่ต่อยอดมาจากสิงคโปร์
โดยอุตสาหกรรมหลักที่จะมุ่งเน้น ก็จะเป็น Electronics Goods และ Automotive Parts บางส่วน ขณะเดียวกันจะใช้กลยุทธ์ Scale-up Air Consolidation, Supplier Management ในการขยาตลาด
การให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดน (Cross Border Service) ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ จำกัด (ETL) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จากการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ มีแผนนำบริษัทดังกล่าวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยเตรียมยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) ในเดือนธ.ค.65 และเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในไตรมาส 2/66 เพื่อนำเงินที่ได้ไปขยายศักยภาพรองรับการเติบโตในอนาคต
สำหรับแผนการดำเนินงานของ Cross Botder Service ในช่วง 3 ปีจากนี้ มองว่ายังคงมีปริมาณการขนส่งที่ดี คาดว่าจะมีการดำเนินงานที่ดีขึ้นในปี 66 เป็นต้นไป เนื่องจากเส้นทางการขนส่งจะสามารถเปิดให้บริการตามปกติ และ ปริมาณสินค้ามีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริการดังกล่าวเป็นที่นิยม จากการขนส่งที่สะดวกรวดเร็ว จึงได้รับความสนใจมากขึ้น
ส่วนบริการจัดการคลังสินค้าภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ไวส์ ซัพพลายเชน โซลูชั่นส์ จำกัด ผู้ให้บริการด้านซัพพลายเชนโซลูชั่นส์แบบครบวงจร ทั้งงานคลังสินค้า การกระจายสินค้า การขนส่งสินค้า (Equipment) ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทย่อย มีแผนการขยายพื้นที่คลังสินค้าทั้งหมด 100,000 ตารางเมตร ภายในระยะเวลา 3 ปี จากปัจจุบันมีพื้นที่ราว 30,000 ตารางเมตร รวมถึงให้บริการจัดการคลังสินค้าแบบออนไซต์ (Onsite Warehouse Management) อีกทั้ง บริษัทยังมีแผนความร่วมมือพันธมิตร จัดตั้งคลังสินค้าคู่กับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มสายการผลิตและต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านคลังสินค้า
"แผนระยะกลาง (ปี 66-68) มุ่งเน้นการทำงานร่วมกันมากขึ้นระหว่างบริษัทย่อยทั้งหมด 9 แห่ง เพื่อขยายตลาดให้กับบริษัทในเครือ รองรับปริมาณความต้องการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้น อาทิ ประเทศจีน และ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตเป็นอย่างมากทั้งการขนส่งทางทะเลและทางอากาศ โดยมีแผนการขยายสำนักงานและบุคลากร อีกทั้งจุดเด่นของบริษัทในการใช้กลยุทธ์เข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ด้วยการบริหารการขนส่ง และบริการหลากหลาย อาทิ การให้บริการส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ (Reefer Container) การขนส่งสินค้าแบบไม่เต็มตู้ (LTL : Less-Than-Truckload)
บริษัทยังมีแผนร่วมมือกับพันธมิตร ที่จะเปิดสาขาใหม่ไปยังประเทศในทวีปเอเชียที่มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ อาทิ ประเทศเวียดนาม ซึ่งการร่วมมือกันในครั้งนี้ นอกจากเป็นการเพิ่มโอกาสการขนส่งสินค้าและการขยายเส้นทางครอบคลุมทั่วภูมิภาคแล้ว ยังมีผลดีด้านการลดต้นทุนเพื่อเพิ่มกำไรให้กับบริษัทอีกด้วย
ขณะที่ แผนการเพิ่มบริการขนส่งสินค้าไปยังประเทศกลุ่มลูกค้าหลักประเทศสหรัฐฯ ท่ามกลางปัญหาด้านค่าระวางเรือที่ปรับตัวลดลง แต่บริษัทมีการบริหารต้นทุนค่าขนส่งร่วมกับบริษัทในเครือเพื่อรักษาอัตรากำไร อีกทั้งปริมาณการขนส่งยังคงเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน คาดว่าเมื่อค่าระวางเรือกลับมาอยู่ในระดับปกติ จะส่งผลปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากสินค้าประเภทกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์, กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน บริษัทมีแผนการเพิ่มสัดส่วนการขนส่งของสินค้าประเภทอาหารมากขึ้น" นายชูเดช กล่าว
นอกจากนี้บริษัทฯ วางงบลงทุนต่อปีไว้ที่ 200-300 ล้านบาท ในช่วง 3 ปี เพื่อรองรับการขยายการลงทุนทั้งการขยายคลังสินค้า และการลงทุนร่วมกับพันธมิตรในรูปแบบต่างๆ โดยบริษัทมองภาพอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในอนาคต ยังสามารถเติบโตได้ดี มีการปรับกลยุทธ์และเพิ่มรูปแบบการให้บริการ โดยประสานงานกับบริษัทในเครือมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังมีโอกาสให้บริษัทได้ร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจสร้างการเติบโตใหม่ๆได้อีกมากมาย ด้วยจุดแข็งของบริษัทที่มีบริการที่ครบครัน และ มีเส้นทางการขนส่งที่ครอบคลุม ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตเฉลี่ยของรายได้ไว้ 15-20% ต่อปี รักษาอัตรากำไรสุทธิ 7% จากปีนี้มีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโต ทำผลประกอบการนิวไฮเป็นปีที่ 3 ได้อย่างแน่นอน