นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจากที่ บมจ.โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น (MOSHI) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (แบบไฟลิ่ง) และแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้เริ่มนับหนึ่งไฟลิ่งแล้วเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ MOSHI มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 300 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท โดยมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 240 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 240 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 75 ล้านหุ้น ประกอบด้วย หุ้นสามัญเดิม จำนวนไม่เกิน 15 ล้านหุ้น และเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ
โดย MOSHI จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุนสำหรับการขยายธุรกิจ ชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน รวมถึงภาระหนี้อื่นที่บริษัทฯ อาจมีขึ้นในอนาคต และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ
ด้านนายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MOSHI เปิดเผยว่า ทีมงานของบริษัทฯ มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมานานเกือบ 50 ปี โดยเริ่มจากการดำเนินธุรกิจร้านค้าส่งแบบดั้งเดิม และต่อมาได้ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้า สินค้าไลฟ์สไตล์ ที่มีความหลากหลาย ทันสมัย เน้นคุณภาพ ในราคาที่ย่อมเยาเป็นหลัก ภายใต้ชื่อทางการค้า "Moshi Moshi" ซึ่งสินค้าที่จำหน่ายส่วนใหญ่เป็นสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ มีการออกแบบเพื่อจำหน่ายในร้าน Moshi Moshi โดยเฉพาะ (Exclusive)
ปัจจุบัน มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากถึง 12 กลุ่ม ได้แก่ เครื่องใช้ในบ้าน (Home Furnishing) กระเป๋า (Bag) เครื่องเขียน (Stationery) ตุ๊กตา (Plush Toy) ของใช้แฟชั่น (Fashion) อุปกรณ์เสริมความงาม (Beauty) เครื่องนุ่งห่ม (Apparel) เครื่องสำอาง (Cosmetic) อุปกรณ์ด้านไอที (IT) ของเล่น (Toy) อาหารและเครื่องดื่ม (Food & Drink) และหมวดอื่นๆ (Others) โดยมีจำนวนสินค้า (SKUs) รวมกว่า 22,000 SKUs (ณ วันที่ 30 กันยายน 2565)
นอกจากนี้ MOSHI มุ่งเน้นการพัฒนาและออกแบบสินค้าใหม่ที่หลากหลาย ทั้งประเภทสินค้า รูปแบบ และลวดลายให้มีเอกลักษณ์ เพิ่มประสบการณ์ในการเลือกซื้อสินค้า โดยมีการวางจำหน่ายสินค้าลวดลาย หรือ Collection ใหม่ทุกเดือน เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ และสร้างสีสันให้แก่ร้าน Moshi Moshi โดยสินค้า Collection มีทั้งลวดลายที่ออกแบบโดยทีมงานของบริษัทฯ เอง และตัวการ์ตูนที่ได้รับลิขสิทธิ์ ได้แก่ ตัวการ์ตูน Mickey Mouse, We Bare Bears, Winnie the Pooh, Snoopy และ Hello Kitty เป็นต้น โดยบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญในการทำการสำรวจตลาด ศึกษาและวิเคราะห์แนวโน้มความต้องการของลูกค้าจากข้อมูลภายในและภายนอก เช่น การออกสำรวจตามห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต และศูนย์การค้าชั้นนำในไทย รวมถึงมีการสำรวจและศึกษาเทรนด์แฟชั่นในประเทศต่างๆ ประกอบกับการที่ MOSHI มีฝ่ายจัดหาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความเชี่ยวชาญ จึงทำให้มีความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภค และส่งผลให้มีข้อได้เปรียบในการจัดหาสินค้าใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ตรงกับความต้องการของลูกค้า ในราคาที่ย่อมเยา โดยบริษัทฯ มีแผนในการวางจำหน่ายสินค้าใหม่ปีละกว่า 8,000 SKUs
สำหรับช่องทางการจำหน่ายสินค้าของ MOSHI มีหลากหลายช่องทาง ได้แก่ (1) เครือข่ายสาขาของบริษัทฯ ซึ่งครอบคลุมทุกภูมิภาค ปัจจุบันมีสาขาร้าน Moshi Moshi ที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งหมด 100 สาขา และ ร้าน GIANT 1 สาขา (ณ วันที่ 30 กันยายน 2565) โดยสาขาส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ไฮเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้าท้องถิ่น ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย (2) การขายสินค้าผ่านออนไลน์แพลตฟอร์ม (Online Platform) ได้แก่ Shopee และ Lazada เพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น และ (3) ร้านป๊อปอัพ สโตร์ (Pop-up Store) ซึ่งเป็นร้านค้าที่จัดขึ้นชั่วคราวบริเวณพื้นที่ส่วนกลางของห้างสรรพสินค้า ชั้นนำที่บริษัทฯ ยังไม่มีสาขา
ปัจจุบัน MOSHI มีคลังสินค้าตั้งอยู่ที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม บนพื้นที่ทั้งหมด 21 ไร่ โดยมีการบริหารจัดการสินค้าได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การรับสินค้า การตรวจสอบคุณภาพสินค้า การคัดแยกสินค้า การประกอบสินค้า จนถึงการบรรจุภัณฑ์สินค้า การเก็บสินค้า และขนส่งสินค้าไปยังสาขาของบริษัทฯ ทั้งนี้ คลังสินค้าดังกล่าวสามารถรองรับการขยายสาขาและช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆ ในอนาคต ได้ประมาณ 220 สาขา หรือคิดเป็นยอดขายประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปี