หุ้นกลุ่มโรงกลั่นรับแรงเก็งกำไรจากทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลกฟื้นตัวขึ้น หลังจากกลุ่มโอเปกปฏิเสธข่าวลือการปรับเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมครั้งถัดไปเดือน ธ.ค.65 และยังคงแผนเดิมในการปรับลดกำลังการผลิตจากการประชุมครั้งก่อน สนับสนุนคาดการณ่ว่าผลประกอบของกลุ่มผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 3/65 ที่มีผลขาดทุนสต็อกน้ำมันค่อนข้างมากไปแล้ว
เมื่อเวลา 11.52 น.นำโดย
SPRC ปรับขึ้น 4.46% หรือเพิ่มขึ้น 0.50 บาท มาที่ 11.70 บาท มูลค่าซื้อขาย 103.32 ล้านบาท
ESSO ปรับขึ้น 3.36% หรือเพิ่มขึ้น 0.40 บาท มาที่ 12.30 บาท มูลค่าซื้อขาย 164.19 ล้านบาท
BCP ปรับขึ้น 2.44% หรือเพิ่มขึ้น 0.75 บาท มาที่ 31.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 89.21 ล้านบาท
TOP ปรับขึ้น 1.88% หรือเพิ่มขึ้น 1.00 บาท มาที่ 54.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 295.09 ล้านบาท
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า กลุ่มโรงกลั่นปรับตัวขึ้นมาหลังจากปรับฐาน โดยมองว่าผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 3/65 ที่รับขาดทุนสต็อกน้ำมันไปแล้ว และคาดในไตรมาส 4/65 จะไม่เกิดการขาดทุนสต็อกน้ำมันอีก เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันจะฟื้นตัวและนิ่งขึ้น
อนึ่ง เมื่อวันที่ 22 พ.ย.สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.เพิ่มขึ้น 91 เซนต์ หรือ 1.1% มาปิดที่ 80.95 ดอลลาร์/บาร์เรล
นายกิจพณ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมองว่ากระแสเงินสดโดยรวมกลุ่มโรงกลั่นมีมาก จึงมีแรงเก็งกำไรว่ากลุ่มโรงกลั่นน่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ รวมทั้งค่าการกลั่นก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาด้วย
แนะนำ บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) น่าสนใจ เพราะมีกระแสเงินสดค่อนข้างมาก มีโอกาสทำดีล M&A หรือหาซื้อกิจการเพื่อขยายธุรกิจเพิ่ม และยังได้รับประโยชน์การปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น บมจ.ไออาร์พีซี(IRPC) และ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ในไตรมาส 4/65 ซึ่ง SPRC ยังมีกำลังผลิตเหลือจากที่ใช้อยู่ 80% ในปัจจุบัน ขณะที่ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ไม่ได้รับประโยชน์เพราะใช้กำลังการกลั่นเต็ม 100% แล้ว