ผู้บริหารกลุ่ม บมจ.เจมาร์ท (JMART) ออกโรงยันเป้าหมายโตต่อเนื่องปีละ 50% ดันมาร์เก็ตแคปแตะ 5 แสนล้านบาทในปี 67 พร้อมเดินหน้าลงทุนต่อยอดธุรกิจดึงเทคโนโลยีหนุนหวังโตก้าวกระโดด แย้มสัปดาห์หน้ามีข่าวดีเพิ่ม ส่วนกรณีบมจ.วีจีไอ (VGI) ทยอยขายหุ้นบางส่วนเพราะมีเหตุผลบางอย่าง แม้จะกดดันราคา JMART ลงต่อเนื่องตั้งแต่ 16 พ.ย.65 จนแตะ 40 บาทเมื่อ 22 พ.ย.แต่เชื่อว่ากลุ่ม บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ก็ยังมีการลงทุนเพิ่มกับกลุ่ม JMART ต่อไป
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART เปิดเผยว่า กลุ่ม JMART ยังเน้นการเติบโตธุรกิจที่มีอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 4 บริษัท ได้แก่ JMART บมจ.เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) บมจ.ซิงเกอร์ ประแทศไทย (SINGER) บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) และยังมี บมจ.เอสจี แคปปิตอล (SGC) เป็นบริษัทที่ 5 ที่กำลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นในเดือน ธ.ค.นี้
นอกจากนี้ยังมีอีก 15 บริษัทที่อยู่นอกตลาดซึ่งมีแนวโน้มเติบโต ซึ่งล่าสุดเข้าลงทุนในสุกี้ตี๋น้อย (ในบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (BNN) ) 30% มูลค่า 1.2 พันล้านบาท โดยกลุ่ม JMART มีเป้าหมายไม่เคยเปลี่ยน และเชื่อมั่นว่าปีนี้จะเติบโต 50% และปี66- 67 ก็ยังเติบโตปีละ 50% ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามตลาด (มาร์เก็ตแคป) ตั้งเป้าจะไปถึง 5 แสนล้านบาทในปี 67 จาก 2 แสนล้านบาทในปัจจุบัน
"เรายังไม่ได้หยุดว่าจะลงทุนอะไรอีก เราจะทำอะไรใหม่ๆอีก ในอาทิตย์หน้าเราคงมีข่าว ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาประกาศ ทั้งนี้ บริษัทที่เราเข้าลงทุนต้องมา Synergy ในกลุ่ม และต้องมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งจะต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาแล้วทำให้เกิดความแตกต่องและไปได้เร็ว ที่ผ่านมาในไตรมาส 3/65 เป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของเรา แต่ไตรมาส 4/65 ก็อย่างที่รู้แก่ใจว่าเป็นไตรมาสสูงสุดของปี" นายอดิศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในกลุ่ม JMART ในตลาดเป็นกลไกราคาหุ้น แต่จุดยืนของกลุ่ม JMART ยังโฟกัสการทำธุรกิจที่ทำให้เติบโตอย่างยั่งยืน การเติบโต 50% ไม่ใช่เป็นการเติบโตแบบ S-Curve แต่เป็น J-Curveที่ตั้งใจทำ
นายอดิศักดิ์ กล่าวถึงกรณีที่ VGI ทยอยขายหุ้น JMART ออกมาจะเป็นแรงกดดันการร่วม Synergy ด้วยกันหรือไม่ โดยระบุว่า คง ไม่สามารถตอบแทน VGI ได้ แต่ VGI ก็มีเหตุผลและเป็นสิทธิของเขา
พร้อมยกตัวเอย่างที่กลุ่ม BTS เข้ามาลงทุน SINGER 8% ในราคาเฉลี่ย 14 บาท เมื่อราคาขึ้นก็ขายเมื่อปี 59-60 แต่ผ่านไป 4-5 ปี SINGER สามารถเทิร์นอะราวด์ ทำผลประกอบการ All time high และมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น จากนั้นทาง บมจ.ยู ซิตี้ (U) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม BTS ก็เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนในราคา 36 บาท ถือหุ้นสัดส่วน 24% ซึ่งสุดท้ายของดีก็คือของดี ราคาเท่าไหร่ก็ซื้อ ฉะนั้นเรื่อง VGI ขายหุ้นออกมาก็อาจะเป็นเรื่องที่คล้ายกัน
"ผมยืนยันว่าจะทำให้กลุ่ม JMART ทุกบริษัทมีผลประกอบการที่ดี โฟกัสที่ผลประกอบการ ส่วนราคาหุ้น ผมไม่สามารถกำหนดได้ แต่สิ่งที่กำหนดได้คือทำให้ทุกบริษัทมีผลประกอบการดีเป็นไปตามเป้าหมาย เชื่อว่าผลประกอบการคือสิ่งที่ตอบได้ทุกเรื่งอในท้ายที่สุด" นายอดิศักดิ์กล่าว
*JMT มั่นใจซื้อหนี้เข้าพอร์ตเกินเป้า 2 หมื่นลบ.ปี 66 ลุยซื้อ 3 หมื่นลบ.
นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานคณะกรรมการบริหาร JMT กล่าวว่า ในไตรมาส 4/65 บริษัทคาดว่าจะซื้อหนี้เข้าพอร์ตได้สูงกว่าเป้าหมายหรือราว 2 หมื่นล้านบาทจากเป้าหมาย 1-1.5 หมื่นล้านบาท โดยในไตรมาส 4/65 ยังมีโมเมมตัมจากการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้าที่เป็น Retail และในปี 66 บริษัทตั้งเป้าซื้อหนี้เข้าพอร์ต 3 หมื่นล้านบาท รวมถึงการร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยในการบริหารหนี้เสีย ที่จัดตั้งบริษัทร่วมทุน (JK AMC)นั้น คาดในสิ้นปีนี้พอร์ตจะเพิ่ม 6 หมื่นล้านบาท และคาดปีหน้าน่าจะแตะไปถึง 1 แสนล้านงบาท
*SINGER ยังโตต่อแม้ดัน SGC เข้าตลาดหุ้น
นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SINGER กล่าวว่า ส่วนที่ SINGER หลัง spin off หุ้น SGC เข้าตลาดหุ้นนั้น ก็ยังแข็งแรง แต่บริษัทมีการเติบโต แม้ว่าผลประกอบการจะถูกไดลูชั่น 25% ในงบรวม แต่ในแง่สัดส่วนรายได้ SINGER ได้รับ 50-60% ทำให้ไดลูชั่นที่ลดลงถูกชดเชยด้วยอัตราการเติบโตที่คาดว่าปี 66 SGC จะทำได้ไม่ต่ำกว่า 50% และวางเป้าหมายพอร์ตเติบโต หลังระดมเงินทุนจากการเสนอขายหุ้น IPO ทำให้ SINGER จะมีเงินทุนขยายธุรกิจเข้ามา อีกทั้งบริษัทลดภาระหนี้หุ้นกู้ในปีนี้ลดลงไป1.8 พันล้านบาทเหลือ 4 พันล้านบาท ทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง ทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น
นอกจากนี้ SINGER ก็ยังดำเนินธุรกิจขายสินค้าในแบรนด์ของตัวเอง ที่มีรายได้เติบโตต่อเนื่อง รวมถึงยังมีโอกาสขยายฐานลูกค้ากับกลุ่ม บมจ.น้ำตาลบุรีรัมย์ (BRR) ที่กลุ่ม JMART เข้าลงทุน ที่ SINGER มีแผนจะเปิดสาขาในบุรีรัมย์และขายสินค้าเงินผ่อนให้กับชาวไร่อ้อยด้วย
*J รุกเพิ่มพื้นที่ศูนย์ทะลุ 1 แสนตร.ม.ในปี 66 ดึงร้านสุกี้ตี๋น้อยไปทุกสาขา
นายสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ เอ เอส แอสเซ็ท (J) กล่าวว่า ในปี 65 บริษัทยังคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% จากปีก่อน 164 ล้านบาท และปี 66 คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% โดยมาจาการบริหารพื้นที่ขายที่รับรู้ได้เต็มปีในปีนี้ราว 7 หมื่นตร.ม. และปีหน้าพื้นที่ขายจะทะลุ 1 แสนตร.ม. โดยจะเปิดศูนย์ใหม่ 2 แห่ง ที่บางบัวทอง และรามคำแหง ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ตามลำดับ นอกจากนี้เมื่อต้นสัปดาห์ได้ซื้อที่ดิน 20 ไร่ ย่านประเวศจะวางโครงการใหม่ในปี 67 โดยบริษัทตั้งเป้าจะเปิดศูนย์ใหม่หรือคอมมูนิตี้มอลล์ปีละไม่ต่ำกว่า 2 แห่ง บริษัทได้เงินเพิ่มทุนในปีนี้ทำให้ฐานะการเงินของบริษัทแข็งแรง อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงมาอยู่ที่ 0.6 เท่าทำให้บริษัทมีความสามารถขยายงานได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ จากดีลซื้อธุรกิจสุกี้ตี๋น้อย ทำให้เกิด Business Model ว่าจะนำร้านสุกี้ตี๋น้อยไปกับศูนย์ใหม่ ก็จะทำให้การเปิดศูนย์ใหม่ง่ายขึ้น ลดความเสี่ยง ทั้งนี้การ Synergy ในกลุ่ม JMART ได้ธุรกิจ J Mobile , Singer , IT Saction รวมๆแล้วจะใช้พื้นที่ไม่ต่ำกว่า 2,500-3,000 ตร.ม. ไม่นับพันธมิตรรายอื่นนอกกลุ่มอาทิ สตาร์บัคส์ เคเอฟซี เป็นต้น ทำให้การขยายเข้าทุกจังหวัด และหัวเมืองใหญ่ได้มากขึ้น โดยได้วางเป้าหมายใน 5 ปีจะเปิดเพิ่ม 50 แห่ง ที่จะเพิ่มพื้นที่ขายจาก 1 แสนตร.ม.เป็น 5 แสนตร.ม.
ส่วนบริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด คาดว่า ยอดขายในไตรมาส 4/65 น่าจะเป็นยอดขายสูงสุดของปี และมากกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากที่ iPhone 14 เปิดตัวเร็วขึ้น แต่ก็เห็นแล้วว่า iPhone 14 มีปัญหาซัพพลายขาดแคลน บริษัทได้มีการสต๊อกสินค้า iPhone ก่อนรุ่น iPhone 14 นอกจากนี้ ยังได้รุกธุรกิจสินเชื่อกับสินค้าสมาร์ทโฟนซึ่งทำให้มีมาร์จิ้นสูงขึ้น นอกจากนี้ใกล้เทศกาลปีใหม่ บริษัทเห็นสัญญาณสินค้า gadget มียอดขายมากขึ้น ไตรมาส 4 นี้จะโฟกัสสินค้าเหล่านี้รวมถึงสินค้าไอที เครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ททีวี ตู้เย็น และยังเปิดสาขา Stand Alone เพราะต้องการพื้นที่ขายขนาดใหญ่ขึ้น และยังได้ Synergy กับบิรษัทในกลุ่มที่จะทำให้ยอดขายสูงขึ้น อาทิ SINGER , IT Junction