ความพิเศษที่เป็นไฮไลท์ในช่วงเทศกาลเฟสทีฟของไฮซีซั่นที่กำลังจะมาถึงนี้ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ได้เตรียมมอบความอร่อยที่มาพร้อมกับการสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ให้กับวงการพิซซ่า ด้วยการลุกขึ้นมาพลิกโฉมพิซซ่าในแบบเดิมๆ ให้มีความเอ็กซ์คลูซีฟมากขึ้น และเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคให้ได้มากสุด จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่าหนึ่งในความต้องการของผู้ที่ชอบทานพิซซ่า คือ ความหนาของแป้งพิซซ่าที่อยู่ตรงกลางระหว่าง พิซซ่าแป้งบางกรอบ กับ พิซซ่าแป้งหนานุ่ม จึงเป็นที่มาของการพัฒนาและคิดค้นสูตรจนกลายเป็นแป้งพิซซ่าโฮมเมดแบบบางนุ่ม
นายปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะพิซซ่า คอมปานี กล่าวว่า เราได้พัฒนาช่องทางการสั่งอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังได้พัฒนาเมนูใหม่ๆเข้ามาเพื่อที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น ขณะที่ช่วงที่ผ่านมาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ยังเป็นปัจจัยหนุนให้ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ และในช่วงที่เหลือของปีนี้เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจในช่วงช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จะเป็นปัจจัยหนุนให้ยอดขายของบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
บริษัทยังได้ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 66 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% จากคาดว่าจบปีนี้ที่ 6,700-7,000 ล้านบาท หลังจากผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ รวมไปถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ และ การนั่งทานอาหารที่ร้านฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทคาดว่ายอดขายสาขาเดิม (SSSG)จะมีการเติบไม่ต่ำกว่า 25-30%
สำหรับภาพรวมตลาดพิซซ่าปัจจุบันคาดว่ามีมูลค่าตลาดกว่า 10,000 ล้านบาท เติบโตมาอย่างต่อเนื่องทั้งจากผู้ประกอบการรายเดิม และ ผู้ประกอบการรายใหม่ๆที่เข้ามาแข่งขันในตลาดมากขึ้น โดยปัจจุบัน เดอะ พิซซ่า คอมปะนี มีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 70-75% ด้วยการเติบโตทั้งการเข้ามานั่งทานที่ร้าน การสั่งผ่านระบบออนไลน์ และการสั่งผ่านระบบ Call center
ปัจจุบันบริษัทมีสาขาร้าน เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ทั้งหมด 420 สาขา กระจายอยู่ใน 76 จังหวัด โดยในปี 66 ตั้งเป้าจะขยายสาขาเพิ่มอีก 30-50 สาขา/ปี เน้นกลุ่มเมืองรองเพื่อที่จะกระจายให้เข้าสู่ความต้องการของผู้บริโภคในแหล่งชุมชนมากยิ่งขึ้น และได้เตรียมปรับรูปแบบของร้าน ขนาดของร้านให้มีความเหมาะสมในการขยายสาขามากยิ่งขึ้นด้วย
ในช่วงที่เหลือของปี 65 นี้บริษัทยังคงมั่นใจว่ายอดขายจะมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมายอดขายเติบโตแล้วกว่า 30% โดยแนวโน้มสถานการณ์ต่างๆ เริ่มผ่อนคลาย และกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นโอกาสให้ธุรกิจอาหารกลับมาคึกคักอีกครั้ง รวมไปถึงปัจจัยบวกจากปริมาณของผู้บริโภคกลับมาที่หน้าร้านเพิ่มขึ้นด้วย