นายปภาณเดช พชรชานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านสนับสนุนโครงการ บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) เปิดเผยว่า บริษัท จับมือกับ บมจ. ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) ผู้นำอันดับ 1 ในการผลิตเหล็กเส้นในประเทศไทย ร่วมส่งเสริมความยั่งยืนและใส่ใจสิ่งแวดล้อม ตามแนวคิด Low Carbon Community ด้วยการมุ่งบริหารจัดการเหล็กเส้นที่เป็นวัสดุสำคัญในขบวนการก่อสร้างบ้าน ซึ่งจะเริ่มที่โครงการระดับลักซ์ชัวรี่ 3 แห่ง ได้แก่ โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ดอีสต์ พระราม 9, เดอะ เจนทริ พัฒนาการ 2 และ เดอะ เจนทริ คัลทิวาร์ พระราม 9
นับเป็นมิติใหม่ ของอุตสาหกรรมก่อสร้างในไทย โดยเอสซี แอสเสทฯ ได้ร่วมกับทาทา สตีล ปรับกระบวนการสำหรับบริการที่สอดคล้องกับรูปแบบการก่อสร้างโครงการบ้านเดี่ยว ตามแนวคิดบริการตัดและดัดขึ้นรูปเหล็กเส้นตามรายการเหล็กจากโรงงาน หรือที่เรียกว่า บริการเหล็กเส้นขึ้นรูป (Cut and Bend) ซึ่งมักเป็นที่นิยมอย่างมากในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่
แนวคิดดังกล่าวนี้ได้ถูกนำมาบริหารจัดการเริ่มจากต้นน้ำของกระบวนการสร้างบ้าน โดยจะช่วยลดวัสดุเหลือทิ้งหน้างานก่อสร้างลง ซึ่งเป็นปัจจัยลำคัญต่อการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพิ่มความสะดวกในการบริหารจัดการ ทำให้การก่อสร้างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
สำหรับวัสดุก่อสร้างที่เลือกใช้ คือ "ทาทา ทิสคอน" (TATA TISCON) จาก ทาทา สตีล (ประเทศไทย) แบรนด์เหล็กเส้นอันดับ 1 ซึ่งผลิตในประเทศไทยและมีขั้นตอนการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ในฐานะเอสซี แอสเสทฯ เป็นองค์กรที่เติบโตควบคู่กับความใส่ใจสิ่งแวดล้อม เราจึงมีแผนงานบริหารจัดการครอบคลุมเป้าหมาย SCero Mission ตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ รวมถึงมีแผนการนำแนวทางที่ร่วมกับทาทา สตีล ไปพัฒนายังโครงการบ้านอีกกว่า 20 โครงการ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ในปี 66 ทั้งนี้เพื่อช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืนต่อไป
นายชัยเฉลิม บุญญาณุวัตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดและการขาย TSTH กล่าวว่า ทาทา สตีล ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ จึงได้มุ่งพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในด้านสิ่งแวดล้อมอย่างบริการเหล็กเส้นขึ้นรูป (Cut and Bend) ซึ่งช่วยเรื่องการลดเศษเหล็กเหลือทิ้งหน้างาน อีกทั้งกระบวนการผลิตเหล็กในทุกขั้นตอนเป็น Green Process โดยใช้เทคโนโลยีการหลอมแบบ Electric Arc Furnace (EF) ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีการรีไซเคิลเหล็กที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ทั้งในด้านการใช้พลังงานและเชื้อเพลิงน้อยกว่า มีปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2 Emission ที่ต่ำ ตลอดจนมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้คุ้มค่าอยู่เสมอ ได้แก่ การใช้น้ำหมุนเวียน การปลูกต้นไม้ทดแทน, พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เป็นต้น