นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินในการนำหุ้นบมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท (SVR) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจาก บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอออกและเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 130 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25.49% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น มูลค่าที่ตราไว้(พาร์) 1.00 บาท
ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับ 1 แบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์แล้วในวันที่ 2 ธ.ค.65 เป็นที่เรียบร้อย โดยปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาช่วงเวลาการเสนอขายหุ้น IPO และวันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุน ในครั้งนี้ บริษัทฯจะนำไปใช้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้จะนำไปชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น และเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯในอนาคต
สิวารมณ์ "SVR" เป็นผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ภายใต้แนวคิด "Best Smart Living" โดยเป็นอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์โครงการที่อยู่อาศัย เช่น ทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทั้งในกรุงเทพ ปริมณฑล และต่างจังหวัดที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตสูง โดยทุกโครงการของ สิวารมณ์ "SVR" มุ่งเน้นสร้างความแตกต่างด้านการให้บริการและพัฒนาแบบบ้านให้ตอบโจทย์ทุก Lifestyle ทุก Generation ผ่านการเลือกทำเลที่ตั้งของโครงการที่มีศักยภาพ ใกล้แหล่งชุมชน สถานที่ทำงาน แหล่งสาธารณูปโภคทางด้านคมนาคม (ถนนสายหลัก ทางด่วน มอเตอร์เวย์ สถานีรถไฟฟ้ารถไฟฟ้า) ซึ่งจากกลยุทธ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 31 ก.ย.65 มีรายได้รวม 532 ล้านบาท กำไรสุทธิ 36 ล้านบาท ขณะที่ปี 64 มีรายได้จากการขาย 576 ล้านบาท กำไรสุทธิ 64 ล้านบาท, ปี 63 มีรายได้จากการขาย 557 ล้านบาท กำไรสุทธิ 42 ล้านบาท และปี 62 มีรายได้รวม 243 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 5 ล้านบาท ตามลำดับ
ผลการดำเนินงานมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นการพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่สามารถฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากสถาการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาได้อย่างแข็งแกร่ง จนสามารถสะท้อนให้เห็นถึงรายได้และกำไรของสิวารมณ์ "SVR" ที่เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจากอัตราการเติบโตดังกล่าว ประกอบกับแผนที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบในโครงการใหม่ๆ เพื่อให้สอดรับกับแผนขยายโครงการภายใต้การมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อพัฒนาการอยู่อาศัย และตอบโจทย์การยกระดับการใช้ชีวิตที่ลงตัว ให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล โดยจะมุ่งเน้นโซนพื้นที่ที่มีอัตราเติบโตของประชากรสูง และมีการขยายโครงข่ายคมนาคม และพื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรมส่วนต่อขยาย จากปัจจัยดังกล่าวยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตผลการดำเนินงานของ สิวารมณ์ "SVR" ที่จะเติบโตสู่ระดับ High Growth อย่างต่อเนื่องในอนาคต
นายอรรถปวิทย์ มโนธรรมรักษา กรรมการผู้จัดการ SVR เปิดเผยว่า แผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นก้าวสำคัญของ สิวารมณ์ "SVR" โดยวัตถุประสงค์การระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนในการนำเงิน ที่ได้ไปใช้ในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ที่จะทยอยเปิดตัวไปในทำเลสำคัญๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่การเป็นบริษัทฯพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ ผ่านกลยุทธ์การพัฒนาโครงสร้างอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้แนวคิด "Best Smart Living" ที่ขับเคลื่อนด้วย 4 "S" SMART
1. ทำเลที่ตั้งโครงการที่มีศักยภาพ (SMART Location) โดยมุ่งเน้นการเลือกทำเลที่ตั้ง เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ จากสภาพแวดล้อม สภาพเศรษฐกิจบริเวณโดยรอบโครงการ ที่มีศักยภาพและเหมาะสม
2.การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย (SMART Function) มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับออกแบบรูปแบบบ้าน เพื่อสอดรับกับการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกช่วงอายุ ทุกเพศ ทุกวัย ตอบสนองต่อรูปแบบการใช้ชีวิตสมัยใหม่ ของผู้บริโภคในปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการจัดวางพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3. ความคุ้มค่าในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย (SMART Value) มุ่งเน้นศึกษารูปแบบโครงการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการและก่อสร้างผลิตภัณฑ์ด้วยวัสดุที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพ มีการใช้พื้นที่ใช้สอยให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตอบสนองความต้องการใช้งานได้จริง เพื่อสร้างความคุ้มค่าและความประทับใจให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อโครงการบ้าน
4. ความทันสมัยและความสะดวกสบาย (SMART Home) มุ่งเน้นนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้าร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆภายในบ้าน มีระบบการสั่งการได้จากโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือคอมพิวเตอร์ (Smart Network) เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัย ภายใต้สโลแกน "ควบคุมง่ายๆ อยู่ที่ไหนก็สั่งได้"
Key Business ดังกล่าว เป็นการสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ และ พันธกิจ ของบริษัทฯในการมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างสรรค์นวัตกรรม สินค้าและบริการ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองทุกรูปแบบการใช้ชีวิต โดยส่งมอบสังคมคุณภาพพร้อมความสุข อย่างยั่งยืน ภายใต้การพัฒนาคุณภาพสินค้าบริการ และองค์กร ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการใส่ใจความต้องการของลูกค้าในทุกระดับราคา และทุก generation เพื่อสร้างองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน ร่วมกับ ลูกค้า คู่ค้า ผู้ถือหุ้น และ พนักงานในองค์กร
ปัจจุบัน สิวารมณ์ "SVR" มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ บริเวณพื้นที่บางปู และเทพารักษ์ และทำเลที่มีการขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรม นิคมพัฒนา จังหวัดระยอง จำนวน 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,639 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการสิวารมณ์ ปาร์ค (สุขุมวิท-บางปู) ,โครงการสิวารมณ์ เนเจอร์พลัส (สุขุมวิท-บางปู) ซึ่ง 2 โครงการดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 957 ล้านบาท และได้มีการปิดการขายโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้โครงการสิวารมณ์ ซิตี้ (นิคมพัฒนา-ระยอง), โครงการแกรนด์ สิวารมณ์ (สุขุมวิท - บางปู), โครงการสิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-เทพารักษ์), โครงการสิวารมณ์ เนเจอร์ พลัส (อัสสัมชัญ-ศรีราชา), โครงการสิวารมณ์ เนเจอร์ พลัส 2 (สุขุมวิท-บางปู 83), 8.) โครงการสิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) โดยทั้ง 6 โครงการดังกล่าว มีมูลค่าโครงการรวม 2,995 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการขายและการพัฒนา ขณะที่ 9.) โครงการสิวารมณ์ วิลเลจ (ชัยพฤกษ์-วงแหวน) มูลค่าโครงการรวม 686 ล้านบาท อยู่ระหว่างพัฒนา โดยทุกโครงการของสิวารมณ์ ที่เปิดการขายได้การรับตอบที่ดีกลุ่มลูกค้า เนื่องจากมุ่งเน้นพัฒนาแบบบ้านให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยในปัจจุบัน และความแตกต่างด้านการให้บริการแบบครบทุกมิติ ซึ่งจากทุกความใส่ใจของ สิวารมณ์ ทำให้วันนี้เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว
"ด้วยกลยุทธ์ของสิวารมณ์ เรามุ่งพัฒนาอสังหาฯเพื่อที่อยู่อาศัยแนวราบทุกรูปแบบราคา 1 ถึง 7 ล้านบาท โดยมีขนาดที่ดินต่อโครงการไม่เกิน 50 ไร่ ทำให้สามารถกระจายการพัฒนาโครงการได้ในหลากหลายพื้นที่ ซึ่งมีความเหมาะสมกับความต้องการและไม่เกิดอุปทานส่วนเกิน ส่งผลให้โครงการของเราสามารถจำหน่ายได้หมดภายใน 1 ถึง 3 ปี ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค"