นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีต รมช.แรงงาน ซึ่งปัจจุบันทำหน้าที่เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวคัดค้านการเก็บภาษีจาการขายหุ้น โดยระบุว่า ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นทั้งไทยและต่างประเทศยังตกลงอย่างต่อเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก การเก็บภาษีหุ้นจึงไม่เหมาะสมและได้ไม่คุ้มเสีย ด้วยเหตุผล ดังนี้
1. ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงหนักจากเงินเฟ้อและปัญหาเศรษฐกิจ
2. ภาษีขายหุ้นจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่อง โดยกระทบนักลงทุนทุกประเภท รวมทั้งรายย่อยที่ลงทุนโดยตรงและลงทุนผ่านกองทุนรวม และนักลงทุนต่างประเทศ
3. สภาพคล่องที่ลดลงจะส่งผลต่อผลประกอบการของทั้งอุตสาหกรรม และส่งผลต่อเม็ดเงินที่บริษัทใน Real Sector (กลุ่มอุตสาหกรรม) จะสามารถระดมทุนโดยการออกหุ้นสามัญเพื่อนำไปใช้ในการขยายกิจการ
4. ผู้ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ (Market Maker) จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลต่อนวัตกรรมของตลาดทุนไทย ทำให้แข่งขันกับตลาดทุนอื่นได้ยากขึ้น
5. อัตรา 0.1% สูงพอๆ กับที่ทั้งอุตสาหกรรม (โบรกเกอร์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)) จัดเก็บอยู่แล้วในรูปของค่าธรรมเนียมต่างๆ
6. มีการเก็บภาษีอื่นจากการขายหุ้นอยู่แล้ว ทุกการซื้อขายหุ้นมีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีรายได้จากเงินปันผล ภาษีเงินได้นิติบุคคลจากการซื้อขายหุ้น
7. ที่ผ่านมาตลาดทุนได้ทำหน้าที่สนับสนุนนโยบายรัฐบาล เช่น การให้ความรู้ทางการเงิน การส่งเสริมให้วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SME) เข้ามาระดมทุน การจ้างงาน การเสียภาษีของอุตสาหกรรม
นางนฤมล ระบุว่า ตลาดหลักทรัพย์นอกจากจะเป็นแหล่งระดมเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการแล้ว ยังทำให้เกิดการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลนำส่งรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 80% ของบริษัทเอกชนที่เสียภาษีในประเทศไทย และยังทำให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ให้คนไทยมาเป็นเวลากว่า 48 ปี แต่รายได้ภาษีขายหุ้นที่รัฐคาดว่าจะได้รับประมาณ 1.6-2 หมื่นล้านบาทจะไม่คุ้มค่ากับผลลบที่จะเกิดกับตลาดทุน แหล่งระดมทุนสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่จะเติบโตเป็นฟันเฟืองทางเศรษฐกิจของประเทศ