นายพนม ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหาร บมจ. เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าปริมาณการขายถ่านหินในปี 2566 ไว้ที่ระดับ 5.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ประมาณการณ์ปริมาณการขายถ่านหินไว้ที่ 4.5 ล้านตัน เนื่องจากขยายตัวของธุรกิจถ่านหินมีต่อเนื่อง จากความต้องการใช้ถ่านหินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากช่วงโควิด และผู้ประกอบการเริ่มกลับมาทยอยสั่งซื้อถ่านหิน เพื่อรองรับการผลิตสำหรับปี 2566 เพิ่มขึ้น
ส่วนการให้บริการ ขนส่งโลจิสติกส์ (ขนส่งน้ำ-บก-คลังสินค้า) บริษัทฯ มีแผนจัดซื้อรถบรรทุก เพิ่มขึ้นอีก 22 คัน ซึ่งจะทยอยรับมอบในปีครึ่งปีแรกของปี 2566
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทำให้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 23,400 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจถ่านหิน 22,200 ล้านบาท ธุรกิจโลจิสติกส์ 800 ล้านบาท และธุรกิจเทรดดิ้งสินค้าเกษตร 400 ล้านบาท
นายพนม กล่าวว่า บริษัทยังเดินหน้าหน้าขยายการดำเนินงานในธุรกิจหลักในกล่มธุรกิจถ่านหิน อย่างต่อเนื่อง เพราะดีมานด์การใช้ถ่านหินในภาคอุตสาหกรรม ยังเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากยังมองว่าต้นทุนการใช้ถ่านหินในการผลิตของภาคอุตสาหกรรมถูกกว่าการใช้พลังงานเชื้อเพลิงอื่น ๆ ส่งผลให้บริษัทฯ เดินเกมรุกในการขยายตลาดถ่านหินทั้งในถ่านหินทั้งในและต่างประเทศ ควบคู่กับการขยายการให้บริการด้านการขนส่งในกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ ที่ยังคงมีความต้องการด้านการลงทุนสินค้าโดยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น
บริษัทมองว่าในปี 66 ดีมานด์ในอุตสาหกรรมการขนส่งด้านโลจิสติกส์ยังคงเติบโตได้ดี ซึ่งการเติบโตดังกล่าวจะส่งผลเชิงบวกต่อการให้บริการของ AGE เช่นเดียวกันธุรกิจเทรดดิ้ง จากการจำหน่ายสินค้ามันสำปะหลังเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงปีนี้จำนวน 80 ล้านบาท
"จากปัจจัยความผันผวนของราคาถ่านหินที่ยังมีต่อเนื่องในปี 2566 ทำให้บริษัทฯ เพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการต้นทุนในด้านต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการดูแลบริหารจัดการความเสี่ยงของธุรกิจและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ที่ผู้ร่วมตลาดทุนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุน ผู้ลงทุนสถาบัน และนักวิเคราะห์การลงทุน ให้ความสำคัญกับการนำข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG)"
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เป็นการสอดรับกับแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจในปี 66 บริษัทเตรียมเงินลงทุนไว้ 140 ล้านบาท เพื่อใช้รองรับการขยายการลงทุนเพิ่ม อาทิ รถบรรทุกเพิ่ม 22 คัน มูลค่า 78 ล้านบาท ลงทุนโกดังเก็บสินค้ามูลค่า 50 ล้านบาท รวมถึงลงทุนในระบบบริหารจัดการเพิ่ม IT มูลค่า 10 ล้านบาท เพื่อรองรับการให้บริการด้านโลจิสติกส์ในระยะยาว
ส่วนความคืบหน้าธุรกิจลิสซิ่งนั้น นายพนม กล่าวว่า บริษัทส่งมอบรถบรรทุกในโครงการ "เถ้าแก่น้อย" นำร่องเฟสที่ 1 จำนวน 7 ราย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เป็นการสานฝันให้กับพนักงานขับรถที่อยากเป็นเจ้าของรถ ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์การขยายธุรกิจด้านโลจิสติกส์ที่มุ่งหวังเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจครบทุกมิติ