โดยในส่วนของตลาดหุ้นในปีหน้า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยตามมุมมองของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดที่มีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจไทย จะเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติสนใจประเทศได้ และถ้ามีนโยบายการเมืองจากรัฐบาลชุดใหม่ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างดี และสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจ มีการจูงใจการลงทุนเข้ามา รวมทั้งมุมมองค่าเงินบาทในปีหน้าที่ยังมองแข็งค่าขึ้น จะส่งผลบวกต่อ Fund Flow ที่ยังไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในปีหน้าได้
"รัฐบาลได้เริ่มหันมาที่การดูแลวินัยการคลังมากขึ้น หลังจากในช่วงโควิดที่ผ่านมา มีการใช้จ่ายเงินไปมาก ทำให้ต้องกลับมาดูในเรื่องความสมดุลของงบดุล ทำให้เรื่องการเก็บภาษีจึงเป็นสิ่งแรกๆที่เข้ามาในการบาลานซ์งบดุลของรัฐ แต่สำหรับนักลงทุนต่างชาติจะมอง Big Picture มากกว่าในการลงทุน ทำให้การเก็บภาษีหุ้นไม่กระทบต่อ Fund Flow มาก ถ้าเศรษฐกิจไทยดี และเขามีมุมมองบวก ต่างชาติก็พร้อมเข้ามาลงทุน" นายทิม กล่าว
สำหรับในปี 65 เป็นปีที่ Fund Flow ต่างชาติพลิกกลับมาเป็นฝั่งซื้อสุทธิกว่า 2 แสนล้านบาท จากปีก่อนที่ต่างชาติขายสุทธิ 5 หมื่นล้านบาท สะท้อนภาพบวกต่อเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่ Fund Flow เข้ามาในตลาดตราสารหนี้เป็นจำนวนมาก และมองว่าในปีหน้าทิศทางบวกของเศรษฐกิจไทยที่ดีต่อ มองว่า Fund Flow ต่างชาติ จะไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ต่อได้ และการที่อัตราดอกเบี้ยไทยที่ยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก ทำให้ตลาดตราสารหนี้ไทยเป็นทางเลือกในการที่ต่างชาติจะนำเงินเข้ามาลงทุน เพราะมีความผันผวนไม่สูงมากเมื่อเทียบกับซึ่งตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯอยู่ในระดับสูง
ส่วนนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยเกี่ยวกับค่าแรง 600 บาท/วัน ในส่วนของภาคธุรกิจอาจจะมีความกังวลในเรื่องต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น หากค่าแรงที่ปรับขึ้นมาในระดับดังกล่าว และกระทบต่อการดึงดูดการลงทุนในประเทศ ซึ่งมีผลกระทบต่อการแข่งขันของภาคธุรกิจ แต่ในส่วนประชาชนการปรับเพิ่มค่าแรงจะช่วยให้รายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของปีหน้าที่ยังอาจจะต้องเจอกับค่าไฟที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น และราคาสินค้าและบริการที่ยังมีการปรับขึ้นได้ตามต้นทุน ซึ่งยังต้องพิจารณาความเหมาะสมในเรื่องของการปรับขึ้นค่าแรง ที่พรรคเพื่อไทยที่ใช้หาเสียง ซึ่งตามที่พรรคเพื่อไทยประกาศออกมาเป็นเป้าหมายนโยบายระยะยาวปี 2570