นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 66 กลับมาเติบโตในระดับ 10,000 ล้านบาท เทียบเท่ากับปี 62 ที่มีรายได้ 10,822.47 ล้านบาท ซึงจะมาจากการมุ่งเน้น 3 เสาหลัก ทั้ง Customer experience สร้างประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้า, สนับสนุนสร้างหนังไทย และ เพิ่มรายได้ธุรกิจป๊อปคอร์นนอกโรงหนัง
MAJOR วางงบลงทุนรวม 800-1,000 ล้านบาท ซึ่งงบลงทุนส่วนใหญ่จะใช้เพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษแก่ลูกค้า โดยจะขยายสาขาโรงภาพยนตร์เพิ่มอีก 13 สาขา 49 โรง, โบว์ลิ่ง 3 สาขา 40 เลน และคาราโอเกะ 30 ห้อง โรงหนังของ MAJOR จะนำเทคโนโลยีล่าสุดของโลกภาพยนตร์มาเติมเต็มบริการให้กับลูกค้าคนไทยได้สัมผัสประสบการณ์พิเศษก่อนใครเพื่อรับอรรถรสการชมภาพยนต์ในโรง สร้างความแตกต่างจากการดูหนังที่บ้านหรือดูผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการฉายภาพยนตร์ IMAX ใหม่ล่าสุดกับ IMAX with Laser ซึ่งจะมีอยู่ที่โรงภาพยนตร์ 3 สาขา คือ พารากอน ซีนีเพล็กซ์, ไอคอน ซีเนคอนิค
และจะขยายสาขา IMAX ใหม่อีก 1 แห่ง พร้อมระบบการฉาย IMAX with Laser ที่ เมกา ซีนีเพล็กซ์, เปิดโรงภาพยนตร์ ScreenX PLF ในรูปแบบ Premium Large Format แห่งใหม่ที่ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ แห่งที่ 2 และลงทุนในเทคโนโลยี CAPSULE HOLOGRAM มาไว้ที่โรงภาพยนตร์ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ เพื่อมอบประสบการณ์พิเศษแก่ผู้ชมที่ผสมผสานโลกแห่งความเป็นจริง และ Metaverse
ปัจจุบัน MAJOR มีสาขาโรงภาพยนตร์ที่เปิดให้บริการ ณ สิ้นปี 65 รวมทั้งสิ้น 180 สาขา 839 โรง 188,973 ที่นั่ง แยกเป็นในประเทศ 172 สาขา 800 โรง 180,081 ที่นั่ง และด่างประเทศ 8 สาขา 39 โรง 8,449 ที่นั่ง ส่วนสาขา บลูโอ ริซึม แอนด์ โบว์ล เปิดให้บริการ 8 สาขา 210 เลน, คาราโอเกะ 121 ห้อง, ห้องแพลตตินั่ม 9 ห้อง
นายวิชา ยังกล่าวว่า MAJOR ยังจะเน้นพัฒนาและสนับสนุนการสร้างภาพยนตร์ไทยในปีหน้าถึง 45-50 เรื่องเพื่อผลักดันส่วนแบ่งการตลาดให้ได้ 50% และจะนำภาพยนตร์ไทยเข้าฉายปีละ 20 เรื่อง หรือเฉลี่ยเดือนละ 2 เรื่อง เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่ King of Content Hub หวังสร้างภาพยนตร์ไทยป้อนสู่ตลาดโลก ผลักวัฒนธรรมบันเทิงผ่านภาพยนตร์ให้เกิด Soft Power นำรายได้เข้าสู่ประเทศผ่านเนื้อหาในภาพยนตร์
ส่วนธุรกิจป๊อปคอร์นนอกโรงหนัง หลังจากทำตลาดจนประสบความสำเร็จสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง MAJOR จะจับมือกับพันธมิตรอย่าง บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) จากที่เข้าไปถือหุ้น 10% ต่อยอดจ้างผลิตป๊อปคอร์น (OEM) แบรนด์ MAJOR เพื่อการจัดจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven และมองโอกาสขยายไปในช่องทางออนไลน์อื่นๆ รวมถึงห้างโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) และคอนวีเนียนสโตร์ (Convenience Store) ทุกแห่ง โดยบริษัทคาดว่าจะช่วยสร้างรายได้ให้เติบโตแตะ 5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 50% ของรายได้รวมในปี 66
"เทรนด์การชมภาพยนตร์ในปีหน้าจะกลับมาดีขึ้น จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายลง และหนังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ก็มีมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะหนังฟอร์มยักษ์ เช่น Ant-Man and the Wasp, John Wick: Chapter 4, Fast & Furious 10, The Marvels, Spider-Man: Across the Spider-Verse, The Hunger Games, Aquaman and the Lost Kingdom เป็นต้น อีกทั้งธุรกิจป๊อปคอร์นก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เราจึงมั่นใจว่าปีหน้าจะเป็นปีที่เราจะกลับมาเติบโตได้เท่ากับปี 62" นายวิชา กล่าว
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 65 คาดว่ารายได้จะเติบโตขึ้นมาที่ราว 7,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 70% ของปี 62 โดยหลักจะมาจากรายได้จากการขายตั๋วหนัง และยอดขายป๊อปคอร์นเติบโตต่อเนื่องมาที่ 2,500 ล้านบาท หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ผู้บริโภคกลับมาชมภาพยนตร์ในโรงมากขึ้น อีกทั้งไตรมาส 4/65 เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจด้วย