นางสาวบุษบา กุลศิริธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสจี แคปปิตอล (SGC) กล่าวว่า บริษัทพร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 13 ธันวาคมนี้ ในหมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ โดยใช้ชื่อย่อ SGC เป็นอีกก้าวสำคัญสู่ความยั่งยืน
SGC เชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพในธุรกิจสินเชื่อที่มีความเชี่ยวชาญกว่า 10 ปี มี DNA ของ บมจ. ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) สร้างความโดดเด่นให้ธุรกิจ นำจุดแข็งด้านประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของทีมผู้บริหารและพนักงาน ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ และมีเครือข่ายพันธมิตรกว่า 4,100 แห่ง รวมไปถึงการ Synergy ร่วมกับกลุ่มธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทั้ง SINGER กลุ่ม JMART และพันธมิตรของบริษัทในเครือ คอยช่วยแนะนำผลิตภัณฑ์และต่อยอดโอกาสขยายธุรกิจไปสู่ผลิตภัณฑ์สินเชื่อประเภทอื่นๆ ทำให้ SGC มีความได้เปรียบในการแข่งขัน และสามารถสร้างโอกาสการเติบโตได้อย่างน่าสนใจในอนาคต
จากแผนระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพฐานทุนของ SGC ให้แข็งแกร่งขึ้น พร้อมเติบโตตามเป้าหมายการก้าวสู่ที่หนึ่งในผู้นำธุรกิจสินเชื่อของประเทศไทยที่มีพอร์ตเติบโตแตะ 50,000 ล้านบาทภายในปี 69 เงินที่ได้จากการระดมทุน เตรียมนำไปใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจการให้บริการสินเชื่อ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และ นำไปชำระเงินกู้ยืม SINGER ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม เปิดเผยว่า SGC มีพอร์ตสินเชื่อเติบโตอย่างโดดเด่น หรือเติบโตขึ้นประมาณ 74.0% (CAGR จากปี 62-64) และเมื่อสิ้นงวดไตรมาส 3/65 บริษัทมีพอร์ตลูกหนี้สินเชื่อเท่ากับ 15,102 ล้านบาท สูงขึ้นประมาณ 37.8% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 64 ชูโรงสินเชื่อประเภทให้เช่าซื้อรถยนต์แบบโอนกรรมสิทธิ์เล่มทะเบียน และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ภายใต้แบรนด์ "รถทำเงิน" มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ รวมไปถึง การให้บริการอย่างครอบคลุม ทั้งสินเชื่อเช่าซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าเชิงพาณิชย์ สินเชื่อสวัสดิการพนักงาน สินเชื่อผ่อนทอง
สำหรับโอกาสของ SGC ในตลาดสินเชื่อรถทำเงิน ซึ่งเป็นพอร์ตธุรกิจที่บริษัทโฟกัส ยังเติบโตได้อีกไกล จากภาพรวมในประเทศไทย มีจำนวนรถจดทะเบียนสะสมเพิ่มขึ้นจาก 38.3 ล้านคันในปี 60 เป็น 43.2 ล้านคันในเดือน ต.ค.65 และสำหรับรถบรรทุกซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของบริษัทฯ เติบโตขึ้นจาก 1.1 ล้านคันในปี 60 เป็น 1.2 ล้านคันในเดือนตุลาคมของปี 65 เป็นโอกาสให้ SGC ขยายการเติบโตสอดรับกับภาพรวมอุตสาหกรรมที่มีความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้น และเป็นโอกาสในการแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด จึงมั่นใจว่า SGC จะเป็นอีกหุ้นน้องใหม่ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุนได้ในระยะยาวได้
นางยอดฤดี สันตติกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ SGC ในช่วงที่ผ่านมา จำนวน 820 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 3.90 บาท ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินกว่าคาดหมาย ตอกย้ำถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ที่มีการเติบโตของผลการดำเนินงานต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
รวมถึงมองเห็นโอกาสการเติบโตในอนาคต ชูจุดเด่น SGC เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อที่มีการอนุมัติอย่างรวดเร็วและมีระบบพิจารณาความเสี่ยงของลูกหนี้ได้ดี นอกจากนี้ยังได้ผลบวกจากแนวโน้มค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงหลังจากได้เงินระดมทุนจาก IPO โดยสามารถระดมทุนได้ทั้งสิ้น 3,104.85 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) ซึ่งจะเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินแก่ SGC เพื่อรองรับการขยายธุรกิจต่อไป
ด้าน นางวันทนา เพชรฤกษ์วงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวเสริมว่า การเข้าจดทะเบียนของ SGC ในครั้งนี้ จะยิ่งช่วยเสริมภาพลักษณ์ และศักยภาพการเป็นผู้นำตลาดที่เข้มแข็ง ด้วยแนวคิด การเป็นทั้งคู่คิด และคู่ค้า ทำให้วันนี้ SGC สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแท้จริง
พร้อมด้วยการนำระบบเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น สนับสนุนการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อที่ก้าวกระโดด ควบคู่การควบคุมลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPL) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง วางเป้าหมายไม่เกิน 4% จากงวด 9 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 3.7% ขณะที่ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น (D/E) ในปัจจุบันอยู่ที่ราว 5.3 เท่า หลังจากระดมทุนครั้งนี้ จะส่งผลให้ D/E ที่ปรับปรุงด้วยมูลค่าการเสนอขาย ลดลงเป็นประมาณ 2.3 เท่า ช่วยเสริมศักยภาพการขยายธุรกิจ และสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนในอนาคต
ภาพรวมรายได้ของบริษัทฯ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 62-64) มีรายได้รวม 891.52 ล้านบาท 1,362.96 ล้านบาท และ 1,781.82 ล้านบาท ตามลำดับ กำไรสุทธิ 119.36 ล้านบาท 416.58 ล้านบาท และ 593.03 ล้านบาท ตามลำดับ งวดล่าสุด 9 เดือนแรกของปี 65 รายได้รวมอยู่ที่ 1,665 ล้านบาท เติบโต 27% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สัดส่วนรายได้หลักมาจากรายได้ดอกเบี้ย ประกอบด้วย ดอกเบี้ยสินเชื่อรถทำเงิน 46% และดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องจักร 51% ที่เหลือเป็นดอกเบี้ยสินเชื่อสวัสดิการพนักงาน และดอกเบี้ยสินเชื่อผ่อนทองและสินเชื่ออื่นๆ และมีกำไรสุทธิ 467 ล้านบาท