นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจและโครงการ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกสมาคมศูนย์การค้าไทยคนใหม่ ประกาศวิสัยทัศน์สร้าง Sustainable Ecosystem ยั่งยืนและแข็งแกร่ง พร้อมชูบทบาท ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและประเทศชาติอย่างเต็มที่ ซึ่งได้มีการกำหนดทิศทางและนโยบายภายใต้โรดแม็พ 3 ปี (ปี 65-67) เพื่อผลักดันธุรกิจศูนย์การค้าไทยมูลค่าหลายแสนล้านบาทให้กลับมาคึกคัก ท่ามกลางโจทย์ และความท้าทายที่เปลี่ยนไป ตอกย้ำบทบาทศูนย์การค้าเป็น "Key Driving Force" ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศเดินหน้า และเป็น Ecosystem สำคัญเชื่อมโยงหลากหลายธุรกิจเติบโตและแข็งแกร่งไปด้วยกัน
นายชนวัฒน์ กล่าวว่า การรวมตัวกันของสมาชิกสมาคมมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในทุกระดับตั้งแต่ผู้ประกอบการ SMEs, ระบบการจัดการด้านโลจิสติกส์, อุตสาหกรรมก่อสร้าง, อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าและการบริการ ไปจนถึงแหล่งผลิตวัตถุดิบต่างๆที่เกี่ยวข้อง
แผนงานโรดแม็พ 3 ปี (ปี 65-67) ของสมาคมศูนย์การค้าไทยแบ่งออกเป็น 4 แนวคิด คือ
1. Springboard effects ศูนย์การค้าเป็น Platform ที่แข็งแกร่ง ทำให้เกิดการจ้างงานกว่า 2.4 ล้านคน / สร้าง Wealth distribution การค้าขาย มีร้านค้าและ SMEs กว่า 120,000 ราย สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน 7.5 แสนล้านบาท/ปี พร้อมผลักดันให้ศูนย์การค้าไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวในระดับโลก ขานรับนโยบายรัฐ ผลักดันการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ เพิ่ม Shopping per head มากกว่าเท่าตัว (จากหัวละ 1,200 บาท เป็น 3,000 บาท) จากการจับจ่ายในศูนย์การค้า ซึ่งต่อยอดใน ecosystem ของธุรกิจได้อีก 3 ต่อ ทั้ง ร้านค้าในศูนย์ Outsource และภาคขนส่ง
2. Recovery with synergy เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งในสมาชิกศูนย์การค้า เพื่อฟื้นฟูธุรกิจหลังวิกฤตไปด้วยกัน ด้วยมาตรการรับมือกับภาวะผันผวนของเศรษฐกิจโลก สำหรับความท้าทายแรกที่ได้ร่วมกันหารืออย่างเร่งด่วนกับคณะกรรมการฯ คือเรื่องการฟื้นฟูธุรกิจ และเศรษฐกิจในภาพรวมภายหลังวิกฤติการณ์โควิด ที่ภาคธุรกิจศูนย์การค้าต่างสูญเสียรายได้ และทุ่มเม็ดเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านค้า และผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ เกือบ 2 แสนล้านบาท นอกจากรายได้ที่หายไป ธุรกิจศูนย์การค้ายังต้องรับมือกับภาวะการผันผวนของเศรษฐกิจโลก ที่ส่งผลกระทบให้สถานการณ์ภาวะเงินเฟ้อของประเทศไทยล่าสุดเมื่อเดือนส.ค. 65 ที่ผ่านมา ปรับตัวสูงขึ้นถึง 7.86% ถือเป็นสถิติอัตราเงินเฟ้อไทยที่สูงที่สุดในรอบ 14 ปี นับจากเดือนก.ค. 51 โดยมีสาเหตุหลักมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาน้ำมันและอัตราค่าไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก นับเป็นความท้าทายของสมาคมในช่วงระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา ที่ต้องพัฒนาปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านค้าและธุรกิจเองให้กลับฟื้นคืนอย่างยั่งยืน
3. Empowering entrepreneurs and SMEs เสริมกำลังคนให้มีความรู้ ความสามารถในระดับสากล แบ่งปันข้อมูล ประสบการณ์ เพิ่มพูนความรู้ ทักษะ สนับสนุน และส่งเสริมทุก Stakeholder ให้สามารถกลับมาค้าขายได้ คงการจ้างงาน กระตุ้นการลงทุน และช่วยกระจายรายได้ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของร้านค้า และผู้ประกอบการ ยกระดับคุณภาพการให้บริการ และความเป็นเอกลักษณ์ของศูนย์การค้าโดยคนไทย
4. Journey to sustainability ผลักดันให้สมาชิกศูนย์การค้าเดินหน้าแผนประหยัดพลังงานทั้งระยะเร่งด่วน และระยะยาว และส่งเสริมนโยบาย NET Zero อย่างยั่งยืน อาทิ การติดตั้งแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น Solar Rooftop, Solar Street Light, Solar Carport พร้อมใช้ระบบอัจฉริยะอย่าง Motion Sensor Switch สำหรับระบบไฟแสงสว่าง, การร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในการคัดแยกขยะ ไปจนถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียว และพัฒนาศูนย์การค้าในรูปแบบ Eco-Friendly Mall เพื่อใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องตามมาตรฐาน Green Building ในระดับสากล
ปัจจุบัน สมาคมศูนย์การค้าไทย ประกอบด้วย ผู้ประกอบการธุรกิจศูนย์การค้าทั้งหมด 13 รายได้แก่ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (CPN), บริษัท เดอะมอลล์ชอปปิ้งคอมเพล็กซ์ จำกัด, บมจ.ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์, บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด, บริษัท รังสิตพลาซ่า จำกัด, บมจ.แพลทินัม กรุ๊ป (PLAT), บมจ.เอ็ม บี เค จำกัด (MBK), บมจ.สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์, บริษัท อัลไล รีท แมนเนจเมนท์ จำกัด, บริษัท เฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท พิริยา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด, บมจ.อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (ILM) และ บริษัท แปซิฟิค พาร์ค ศรีราชา จำกัด