นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) กล่าวว่า การปรับตัวของบ้านปู ซึ่งดำเนินธุรกิจเหมืองถ่านหินมาเป็นระยะเวลายาวนาน เมื่อกระแสการใช้พลังงานของโลกที่เริ่มเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดมากขึ้น ทำให้บ้านปูต้องมีการขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาได้เข้าไปลงทุนทั้งโครงการโซลาร์ฟาร์ม โซลาร์ลอยน้ำ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อกระจายธุรกิจออกไปสู่พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกที่จะเปลี่ยนไปในอนาคต
"ความกังวลเรื่อง Climate change ทำให้บริษัทต้องมีการปรับเปลี่ยนจากธุรกิจ Mining ไปสู่ Green Energy ที่ตอนนี้อยู่ในช่วงของการ Transition ทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของโลก ทำให้บ้านปูเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนานสามารถดำเนินธุรกิจไปต่อได้ในอนาคต" นางสมฤดี กล่าว
นอกจากธุรกิจด้านพลังงานแล้วบริษัทยังเล็งเห็นความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้เสริมที่ต่อยอดจากธุรกิจพลังงานได้ โดยที่มีกลุ่มธุรกิจ Energy Technology เข้ามาเป็นส่วนเสริมที่จะต่อยอดไปในอนาคต ทั้งการพัฒนาและติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาบ้านเรือน การบริหารจัดการ Smart city การให้บริการด้านการขนส่ง การพัฒนาและผลิตแบตเตอร์รี่ และการให้บริการซื้อขายพลังงานผ่านแพลตฟอร์ม ที่จะเข้ามาเสริมให้กลุ่มบ้านปูมีความแข็งแกร่งและครบวงจรด้านพลังงานมากขึ้นในอนาคต
ภายในปี 68 บริษัทตั้งเป้าจะมี EBITDA จากกลุ่มธุรกิจเกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด และธุรกิจเทคโนโลยีเข้ามามากกว่า 50% จากการที่เดินหน้าลงธุรกิจทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง และวางเป้าที่จะทยอยลดการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับถ่านหินลงต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการเปลี่ยนผ่านด้านธุรกิจพลังงานของบริษัท และสร้างความยั่งยืนตามหลัก ESG ที่บริษัทมุ่งมั่นในการปฏิบัติ