หุ้น SGC เปิดเทรดวันแรกที่ 4.06 บาท สูงขึ้น 4.10% จากราคา IPO ที่ 3.90 บาท
บมวิเคราะห์จาก บล.โกลเบล็ก ให้ราคาเป้าหมายหุ้น บมจ.เอสจี แคปปิตอล (SGC) ปี 66 ที่ 6.00 บาท ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าด้วยวิธี Prospective P/E Ratio โดยอ้างอิง P/E Ratio ที่ 23 เท่าซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปีของบริษัท HENG MICRO MTC SAWAD THANI TIDLOR และ TSR ดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน
SGC เป็นบริษัทในกลุ่ม บมจ.ซิงเกอร์ ประเทศไทย (SINGER) เป็นผู้ให้บริการทางการเงินที่มิใช่สถาบันการเงินโดยให้บริการ 1) สินเชื่อเช่าซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องใช้ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ และเครื่องจักร 2) สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์แบบโอนกรรมสิทธิ์เล่มทะเบียน และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน 3) สินเชื่อสวัสดิการพนักงาน 4) สินเชื่อผ่อนทอง และ 5) สินเชื่ออื่นๆ การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจการให้บริการสินเชื่อ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และชำระคืนเงินกู้ยืมจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ
ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้และกำไรสุทธิปี 2562-2564 อยู่ที่ 891-1782 ลบ. และ 119-593 ลบ. ตามลำดับ โดยคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย CAGR ตลอด 3 ปีที่ 41.4% และ 123% ต่อปีตามลำดับ ตามการขยายพอร์ตสินเชื่อต่อเนื่อง
คาดการณ์กำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ปี 2564-2566 ที่ 36% ต่อปีหลังเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ : คาดรายได้จากดอกเบี้ยปี 2565 อยู่ที่ 2,159 ลบ. เติบโต 24%YoY โดยคาดว่าจะมี Loan growth ราว 30% สู่ 1.41 หมื่นลบ. ได้แรงหนุนจาก 1) การเพิ่มจำนวนพนักงานขายจากปัจจุบันที่ 274 คนเป็น 344 คน เพิ่มขึ้น 26% เพื่อขยายฐานลูกค้าสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ 2) ปลดล็อกวงเงินในการปล่อยสินเชื่อหลังเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ทำให้ D/E Ratio ลดลงจาก 3.7 เท่า เหลือ 1.3-1.7 เท่า และ 3) เพิ่มพันธมิตรใหม่ต่อเนื่องเพื่อขยายสินเชื่อสวัสดิการพนักงาน
ด้านอัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเทียบกับรายได้รวมลดลงจาก 28.8% สู่ 27.5% เพราะรายได้จากดอกเบี้ยเติบโตตามการขยายสินเชื่อ แต่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรซึ่งบางส่วนเป็นต้นทุนคงที่ เมื่อพิจารณาเป็นตัวเงินเพิ่มขึ้นจาก 500 ลบ.สู่ 594 ลบ. ขณะที่อัตราส่วนหนี้สงสัยจะสูญและผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อลูกหนี้เช่าซื้อ (ECL/Total Loan) จะทรงตัวที่ระดับ 2.7% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและประชาชนยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เมื่อพิจารณาเป็นตัวเงินเพิ่มขึ้นจาก 203 ลบ.สู่ 333 ลบ.
ทั้งนี้ เราคาดการณ์กำไรปี 2565 อยู่ที่ 682 ลบ. เติบโต 15 %YoY และคาดการณ์รายได้และกำไรปี 2566 ที่ 2,650 ลบ.(สมมติฐาน Loan Growth 23% สู่ 1.73 หมื่นลบ.) และ 860 ลบ. เติบโต 23% และ 36% ตามลำดับ