SGC ปิดเทรดวันแรกที่ 5.00 บาท สูงกว่าราคา IPO 28.21% หรือเพิ่มขึ้น 1.10 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 5.6 พันล้านบาท โดยเปิดเทรด 4.06 บาท สูงขึ้น 4.10% จาก IPO ที่ 3.90 บาท จากนั้นไล่ราคาขึ้นมาทำระดับสูงสุดที่ 5.00 บาทในช่วงบ่าย
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จากการประมาณการเบื้องต้น บมจ.เอสจี แคปปิตอล (SGC) มีมูลค่าที่เหมาะสมในปี 66 ที่ 5.3 บาท (อิงบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งที่มีลักษณะการดำเนินธุรกิจใกล้เคียงกัน ที่ P/E 20 เท่า) โดยมอง SGC มีแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อในปี 65-67 ที่จะสามารถเร่งตัวขึ้นได้จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินได้ตามปกติส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ช่วยหนุนการปล่อยสินเชื่อโดยรวม ทั้งสินเชื่อจำนำทะเบียน (โดยเฉพาะในรถบรรทุก) และสินเชื่อเช่าซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
อีกทั้งบริษัทยังได้รับปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากแนวโน้มค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงหลังการ IPO รวมถึงยังสามารถสร้างความได้เปรียบคู่แข่งด้านต้นทุนในการดำเนินงานจากการร่วมมือกันกับในเครือบริษัท
สำหรับความเสี่ยงที่ต้องระวังของ SGC คือ การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สูง (จากการมีคู่แข่งรายใหญ่ในตลาด) และความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่อาจถดถอยในปีหน้า
SGC ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อที่มีหลักประกันและสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งรวมถึงสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับประเภทสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ภายใต้เครือ SINGER โดยบริษัทมีการดำเนินงานผ่านพนักงานขาย เครือข่ายสาขา และสาขาแฟรนไชส์ของบริษัทในเครืออย่าง SINGER และ Jaymart mobile กว่า 4,154 สาขา รวมถึงพันธมิตรร้านค้าต่างๆ ครอบคลุมทุกภูมิภาคในประเทศไทย
ผลิตภัณฑ์สินเชื่อของบริษัทฯ สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลักตามลักษณะการดำเนินธุรกิจและลักษณะของประเภทสินเชื่อ ดังนี้ 1. สินเชื่อเช่าซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องใช้ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ และเครื่องจักร 2. สินเชื่อรถยนต์ภายใต้แบรนด์ "รถทำเงิน" ซึ่งครอบคลุมทั้งประเภทให้เช่าซื้อรถยนต์แบบโอนกรรมสิทธิ์เล่มทะเบียน และประเภทจำนำทะเบียนรถ (โดยเฉพาะในกลุ่มรถบรรทุก) 3. สินเชื่อสวัสดิการพนักงาน และ 4. สินเชื่อผ่อนทองออนไลน์ (CLICK2GOLD) ซึ่งบริษัทให้บริการสินเชื่อผ่อนทอง โดยเข้าทำบันทึกข้อตกลงร่วมมือกับ AURA