นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลกในปี 66 มีแนวโน้มที่ฟื้นตัว หลังจากสัญญาณของปัจจัยกดดันต่างๆ เริ่มมีความชัดเจนขึ้น ทั้งเงินเฟ้อสหรัฐฯที่เริ่มเห็นการปรับลดลงมาต่อเนื่อง ทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯเริ่มเห็นทิศทางชะลอความร้อนแรงลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กลับมาช่วยหนุนตลาดหุ้นในช่วงปลายปีนี้ถึงปีหน้า แม้ปีหน้าจะมีความกังวลการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในสหรัฐฯ แต่ทางจิตตะมองว่าจะเป็นการเกิด Recession ที่ไม่รุนแรง
ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยหนุนจากประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นการผ่อนคลายนโยบาย Zero Covid เพื่อกลับมาเปิดเมือง และมีโอกาสเปิดประเทศในปีหน้า และทางการจีนจะยังมีโอกาสกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้กลับมาเติบโตได้เร็ว และเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนจะได้รับอานิสงส์บวกจากจีนด้วย
สำหรับสถานการณ์ในอาเซียน มองว่าเวียดนามยังมีแนวโน้มเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างโดดเด่น หลังจากรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ และหากจีนเปิดประเทศก็จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจเวียดนามได้ รวมถึงประเทศไทยเองก็จะได้รับอานิสงส์จากจีนในเรื่องการค้าและการท่องเที่ยวที่จะช่วยผลักดีนเศรษฐกิจให้เติบโตได้ต่อเนื่องในปี 66
นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกในปี 66 จะเริ่มเป็นภาพของการฟื้นตัวกลับมาเป็นส่วนใหญ่ หลังจากปรับตัวลงไปมากในปีนี้ ซึ่งจิตตะฯ มองว่าดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลงไปลึกมากในปีนี้ จากปัจจัยกดดันที่เข้ามากระทบ และเป็นการเข้าสู่รอบขาลงหลังจากผ่านช่วงขาขึ้นไปแล้วหลังโควิด-19 ซึ่งในปีนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จีน และเวียดนาม มีการปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมาก แต่ตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นญี่ปุ่น ยังแมารถเป็นบวกได้เล็กน้อย
โดยในปี 66 จิตตะ มองโอกาสกลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนในช่วงทิศทางตลาดเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะในตลาดหุ้นจีนและเวียดนาม ที่ยังมีศักยภาพไนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และดัชนีปรับตัวลงมาค่อนข้างลึกในปีนี้ ซึ่งเป็นโอกาสให้นักลงทุนกลับเข้าไปทยอยลงทุนสะสมได้
ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯยังสามารถลงทุนเพิ่มเติมได้ เพราะดัชนีลดลงมามาก และเริ่มเห็นบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯเริ่มมีการเตรียมความพร้อมรองรับ Recession จากการเริ่มทยอยปลดพนักงาน และลดต้นทุนต่างๆลง ส่งผลให้ Recession จะไม่กระทบต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯมากนักในปีหน้า อีกทั้งหุ้นขนาดเล็กหลายบริษัทในสหรัฐฯเป็นหุ้นที่ดีและมีการเติบโตในอนาคตขณะที่ราคาลงมาแรง เป็นโอกาสทยอยเข้าสะสม รวมถึงการลงทุนในธีมเฮลท์แคร์ และเฮลท์เทคในสหรัฐฯยังมีความน่าสนใจ และช่วยป้องกันความผันผวนของตลาดได้
ด้านตลาดหุ้นไทยในปีหน้ามองว่านักลงทุนอาจจะสนใจลดลงบ้าง เพราะปีนี้ถือว่าสร้างผลตอบแทนได้ดีสวนทางทิศทางตลาดหุ้นอื่นๆ และทำให้ในปี 66 นักลงทุนเริ่มอยากออกไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศมากขึ้น ประกอบกับการเก็บภาษีขายหุ้น ส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นกระทบต่อผลแทนที่ได้รับ โดยเฉพาะนักลงทุนที่ซื้อขายแบบ Day Trade แต่หากมองผลตอบแทนในระยะยาวถือว่าภาษีจากการขายหุ้นไม่ได้กระทบมากนัก ถือเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้กลับมา
แม้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยในสายตาของนักลงทุนในประเทศจะลดลงไปบ้าง แต่ทิศทางตลาดหุ้นไทยจะยังมีแนวโน้มปรับขึ้นได้ตามการฟื้นตัวของตลาดหุ้นโลก ประกอบกับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว และการเปิดประเทศของจีน รวมถึงนโยบายการลงทุนต่างๆ หลังจากการเลือกตั้งในปี 66 จะทำให้เศรษฐกิจไทยดีต่อเนื่อง และหนุนต่อตลาดหุ้นไทยได้ ซึ่งยังเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยว ธนาคาร และการบริโภคในประเทศ
"เรามองว่าตลาดลงไปค่อนข้างมากแล้ว และความชัดเจนของปัจจัยต่างๆเริ่มเห็นชัดมากขึ้น ทำให้แนวโน้มปีหน้าจะเห็นการกลับมาฟื้นตัวของตลาดหุ้นทั่วโลก และเป็นโอกาสของนักลงทุนในการกลับมาทยอยลงทุนได้ ซึ่งเรามองว่าการ DCA เป็นการลงทุนที่ช่วยนักลงทุนบริหารความเสี่ยงของพอร์ตและต้นทุน โดยฤกษ์ที่ดีที่สุดของการลงทุน คือ เลิกรอ" นายตราวุทธิ์
ปัจจุบัน จิตตะ เวลธ์ มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท และคาดว่าในปี 66 มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นไปแตะ 2 หมื่นล้านบาท จากการที่นักลงทุนที่เป็นลูกค้ายังคงใส่เงินลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลูกค้าใหม่ ประกอบกับในปีหน้า จิตตะ เวลธ์ จะพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆเพื่อช่วยให้การลงทุนสะดวกและบริหารจัดการพอร์ตได้ดีขึ้น รวมถึงจะปรับลดวงเงินในการลงทุนเริ่มต้นลงมาที่ 10,000 บาท เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้ามาลงทุนและสร้างผลตอบแทนที่ดีได้