นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์-รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ไซด์เวย์อยู่ในกรอบแคบๆทั้งแดนบวกและแดนลบ ตามทิศทางตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก โดยตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน จากความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย และธนาคารกลางหสรัฐ (เฟด) ยังคงใช้นโยบายทางการเงินที่เข้มงวด
ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ซึ่งจะช่วยหนุนหุ้นกลุ่มแบงก์และประกัน ให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ด้านราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1% ด้วยแรงหนุนจากความหวังที่ว่าจีนจะกลับมาเปิดประเทศ หลังมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 จะหนุนแรงหนุนกลุ่มพลังงานให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามจะมีแรงขายออกมาจากลุ่มค้าปลีก และ ท่องเที่ยวออกมา หลังจากวานนี้ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างแรงจากแรงเก็งกำไรผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)วันนี้ ที่คาดว่าจะมีการเคาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ทั้ง "เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5" และ "ช้อปดีมีคืน"
นอกจากนี้ยังคงต้องติดตามการประกาศหุ้นที่เข้าไปอยู่ใน SET50 และการพิจารณาต่อระยะเวลาการลดค่าจดจำนอง รวมไปถึงการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐในวันศุกร์นี้
พร้อมให้แนวรับ 1,615 จุด และ 1,610 จุด แนวต้าน 1,625-1,630 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (19 ธ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,757.54 จุด ลดลง 162.92 จุด หรือ -0.49%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,817.66 จุด ลดลง 34.70 จุด หรือ -0.90% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,546.03 จุด ลดลง 159.38 จุด หรือ -1.49%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,257.35 จุด เพิ่มขึ้น 19.71 จุด หรือ +0.07% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 19,156.94 จุด ลดลง 195.87 จุด หรือ -1.01% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,098.95 จุด ลดลง 8.17 จุด หรือ -0.26%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (19 ธ.ค.65) 1,618.20 จุด ลดลง 0.81 จุด, -0.05%
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 768.97 ลบ.เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.65
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. (19 ธ.ค.)เพิ่มขึ้น 90 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 75.19 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (19 ธ.ค.) อยู่ที่ 9.03 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 34.86 ตลาดขาดปัจจัยชี้นำใหม่ จับตาผลประชุม BOJ-ทิศทาง Flow
- รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการของขวัญปีใหม่ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 20 ธ.ค.นี้ พิจารณา ส่วนจะมีโครงการคนละครึ่ง เฟส 6 หรือไม่ "ขอให้รอดู" ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากคนละครึ่งแล้ว กระทรวงการคลังยังเตรียมเสนอ "ช้อปดีมีคืน 2566" ให้ ครม.พิจารณาด้วย โดยกำหนดให้นำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้า และบริการมาลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง วงเงินสูงสุด 40,000 บาท คาดกรมสรรพากร จะสูญเสียรายได้ 8,200 ล้านบาท
- อธิบดีกรมสรรพากร เผย ภาษีขายหุ้นอาจต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลชุดใหม่ หากรัฐบาลไม่สามารถนำเสนอเพื่อโปรดเกล้าฯ ในราชกิจจานุเบกษาได้ทันภายในสิ้นเดือน ม.ค.นี้ ส่วนภาษีคริปโทเคอร์เรนซีรอลุ้น เชื่อว่าในเร็วๆ นี้ ทางสรรพากรจะออกประกาศ จัดประเภทสินทรัพย์โทเคนดิจิทัล ส่วนการจัดเก็บนั้น คาดว่า จะคล้ายกับการจัดเก็บภาษีหุ้นกู้
- "ธนารักษ์" เตรียมประกาศ ราคาที่ดินใหม่ปี 66-69 เผยราคาเฉลี่ยเพิ่ม 8.93% โดยพื้นที่ "สีลม" ยังครองแชมป์ราคาสูงสุด ขณะ "วิทยุ" พุ่งขึ้น 100% แตะตารางวาละ 1 ล้าน พบประชาชน แบ่งที่ดินเป็นรายแปลงกว่า 2.4 ล้านแปลง เพื่อเลี่ยงการจัดเก็บภาษี
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงในปี 66 จะกระทบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งต้องติดตามสถานการณ์ในจีนหลังจากนี้ จากแนวโน้มเปิดประเทศช่วงไตรมาส 2 ปี 66 ของจีนมีมากขึ้น อาจทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามามากกว่าคาด โดยคาดนักท่องเที่ยวปี 66 จะอยู่ที่ 22 ล้านคน ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีปี 66 อยู่ที่ 3.2%
- หุ้นเด่นวันนี้
- บมจ.สตาร์ มันนี่ เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน หมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "SM" ในวันที่ 20 ธันวาคม 2565 โดย SM ให้บริการ 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1) ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ประเภทสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกัน (สินเชื่อจำนำทะเบียน) และสินเชื่อที่มีหลักประกัน 2) จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเพื่อการพาณิชย์ ทั้งแบบขายเงินสดและผ่อนชำระ (Hire Purchase) ผ่านร้าน "สตาร์มันนี่" ถือเป็นผู้จัดจำหน่าย (Dealer) รายใหญ่ที่มีสาขาครอบคลุม 7 จังหวัดในภาคตะวันออก โดยเฉพาะระยอง จันทบุรี และชลบุรี รวมถึงมีการให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย
- EKH (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 9.30 บาท แนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 4/65 อาจอ่อนตัว Q-Q ตามปัจจัยฤดูกาล แต่ยังเป็นระดับที่แข็งแกร่งจาก Utilization Rate ของเตียงผู้ป่วยในที่ยังสูง และคาดว่ามีแรงหนุนจากการบันทึกกำไรปรับมูลค่าเงินลงทุนใน KLINIQ ที่ถือหุ้นอยู่สัดส่วน 7.27% คาด EKH จะเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้อานิสงส์เชิงบวกจากการผ่อนคลายมาตรการ COVID-19 ของจีน ซึ่งจะเป็นบวกต่อธุรกิจ IVF ส่วนการเติบโตระยะยาวรองรับด้วยการลงทุนใหม่ๆทั้งรพ.คูนและคาดว่าจะเห็นแผนการเพิ่ม Capacity ของโรงพยาบาลในอนาคต
- KTB (ดาโอ) เป้าเชิงกลยุทธ์ 18.70 บาท ประเมินปี 66 จะเป็นปีที่ได้เห็นพัฒนาการในด้านรายได้ค่าธรรมเนียม (จากฐานผู้ใช้งาน 34 ล้านราย) ล่าสุดมีการฟีเจอร์ เป๋าตังเปย์ (Wallet) ซึ่งแยกจาก G-Wallet เดิมที่คนเคยใช้รับสิทธิตามมาตรการรัฐ คาดกำไรไตรมาส 4/65 จะโดดเด่น YoY จาก NIM ที่เพิ่มขึ้นและการตั้งสำรองที่ลดลง ด้านแนวโน้มกำไรปี 66 อาจมี Upside จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย DAOL ประเมินกำไรสุทธิปี 2565-2566 ที่ 3.36 หมื่น ลบ. และ 3.6 หมื่น ลบ. +56%YoY, +8%YoY ตามลำดับ