แหล่งข่าว STARK เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์" ว่า การยกเลิกเข้าซื้อหุ้นใน LEONI Kabel GmbH ซึ่งเป็นบริษัทในเยอรมนี และ LEONIsche Holding Inc ที่เป็นบริษัทในรัฐเดลาแวร์ของสหรัฐ ผู้ผลิตสายไฟสำหรับรถยนต์และสายไฟสำหรับ EV Charging Solutions มูลค่าการซื้อขายรวม 560 ล้านยูโร หรือราว 20,588.90 ล้านบาท รวมเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทในเครือบางรายการ (Intercompany Financing Receivables) ยืนยันว่าเป็นประโยชน์กับบริษัทมากกว่าผลเสีย
เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีโรงงานอยู่ในโปแลนด์และสโลวาเกีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากภาวะสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ขณะนี้สถานการณ์สงครามยังคงยืดเยื้อไม่มีทีท่าว่าจะจบลงได้เมื่อใด นอกจากนั้น จากภาวะสงครามที่เกิดขึ้นได้สร้างผลกระทบต่อค่าพลังงานที่เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าตัว ค่าขนส่ง และ ค่าแรงก็ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมยานยนต์ชะงักไปด้วย "จากตอนแรกที่คิดว่าสถานการณ์สงครามที่เกิดขึ้นจะจบไว แต่สถานการณ์ยังคงยืดเยื้อและอาจจะขยายวงกว้างขึ้นด้วย ซึ่งการเข้าซื้อจะสะท้อนการลงทุนในทางลบ เราจึงได้ยกเลิกการเข้าลงทุน"แหล่งข่าว กล่าว
แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า บริษัทตัดสินใจที่จะถือเงินสดที่ได้รับจากการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) วงเงินราว 5,580 ล้านบาทไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย ระหว่างนี้ก็จะนำโครงการเดิมที่เคยพิจารณาค้างไว้ แต่ได้หยุดไปหลังจากไปทำดีล LEONI กลับมาพิจารณาอีกครั้ง หรืออาจจะมีจังหวะเหมาะสมที่มีโครงการใหม่ๆ ที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีเข้ามา ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังผันผวน
แต่บริษัทยังคงมองการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเดิม คือ สายไฟ หรือ กลุ่มพลังงาน ภาคการผลิตและบริการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ "บริษัทมองผลประโยชน์สูงสุดที่จะมีต่อนักลงทุน การลงทุนมั่วไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องเขียนแผนให้ชัดเจน สะท้อนบรรยากาศการลงทุนที่มีความผันผวน จังหวะนี้มองว่าดีเพราะมีเงินกว่า 5,000 ล้านบาทที่พร้อมช้อปปิ้ง และเศรษฐกิจแบบนี้ราคาก็ถูกลงด้วย"แหล่งข่าว กล่าว สำหรับเงินที่ได้มาจากการเพิ่มทุนมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ในช่วงของการรอบริษัทอยู่ระหว่างทำแผนที่จะนำเงินเข้าไปลงทุนระยะสั้นเพื่อหาผลตอบแทนเพิ่ม อย่างเงินฝากหรือพันธบัตร หรือ อาจจะนำไปคืนหนี้ระยะสั้นตามกรอบที่สามารถทำได้ ก่อนที่จะนำเงินไปลงทุนต่อ ด้านนายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ STARK เปิดเผยว่า แม้จะไม่ได้เข้าซื้อกิจการ LEONI แต่บริษัทยังวางแผนดำเนินงานในปี 66 คงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 20% โดยจะเป็นการเติบโตมาจากทั้งโรงงานในไทยและเวียดนาม
ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) กว่า 10,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิล ที่ตลาดยังเติบโตได้ทั้งจากการขยายตัวของความต้องการไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ การขยายตัวของ Renewable Energy (RE)