นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) เปิดเผยว่า ในปี 66 บริษัทเตรียมแผนเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับออเดอร์ต่างประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น แม้รอบ 9 เดือนของปี 65 ตลาดต่างประเทศจะมียอดจำหน่ายลดลง แต่คาดว่าจากนี้จะค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้น โดยในไตรมาส 4/65 เริ่มเห็นสัญญาณที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าอินเดียที่ยังคงมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มลูกค้าญี่ปุ่นยังรักษายอดคำสั่งซื้อสินค้าได้แม้จะยังไม่เพิ่มขึ้นแบบมีนัยสำคัญก็ตาม
ทั้งนี้ ไตรมาส 3/65 สัดส่วนรายได้จากยอดขายในประเทศอยู่ที่ 52% และต่างประเทศอยู่ที่ 48%
สำหรับแนวโน้มธุรกิจช่วงไตรมาส 4/65 จะเติบโตดีกว่าไตรมาส 3/65 จากสัญญาณดีขึ้นในลักษณะค่อย ๆ ฟื้นตัว จากนโยบายการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ภาคอสังหาริมทรัพย์คึกคัก ประกอบกับเป็นช่วงไฮซีซั่นธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ส่งผลให้ตลาดในประเทศมีสัญญาณการเติบโตที่ดีอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทปรับกลยุทธ์รุกตลาดในประเทศให้มากขึ้น และนโยบายบริหารจัดการต้นทุนการขายและบริหารที่ทำอย่างเข้มข้นเริ่มเห็นผลตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
ด้านธุรกิจพลังงานทดแทน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 220 MW เมืองมินบู ประเทศเมียนมา ที่ปัจจุบันรับรู้รายได้เฟสที่ 1 จำนวน 50 MW แล้ว ปัจจุบันทาง GEP อยู่ระหว่างการก่อสร้างเฟส 2 ซึ่งความคืบหน้าการก่อสร้างยังคงเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ภายหลังจากที่สถานการณ์ความไม่สงบรวมถึงภาวะการแพร่ระบาดของ Covid-19 เริ่มคลี่คลาย โดยคาดว่าการก่อสร้างเฟส 2 จะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ปี 2566 และจะเร่งดำเนินการก่อสร้างสำหรับเฟสที่เหลือให้ครบทั้ง 4 เฟสโดยเร็วต่อไป
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 357.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 342.31 ล้านบาท จำนวน 14.86 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.34 % และมีกำไรสุทธิ 9.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 5.45 ล้านบาท จำนวน 4.22 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 77.32% และมีกำไรเบ็ดเสร็จรวมเท่ากับ 52.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรดังกล่าว 30.55 ล้านบาท จำนวน 22.42 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 73.36 %
และงวด 9 เดือน ปี 2565 มีรายได้จากการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ และบริษัทย่อย 1,091.78 ล้านบาท และมีรายได้รวม 1,129.99 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.41% และ 2.27% ตามลำดับ และมีกำไรส่วนของบริษัทเท่ากับ 31.76 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรดังกล่าว 35.54 ล้านบาท