บล.ทิสโก้ มอง SET Index ในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้านี้มีโอกาสแกว่งซิกแซกขึ้นไปที่เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในกรณีฐานที่ 1,700-1,720 จุดและในกรณีดีที่ 1,750-1,780 จุด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ด้วยช่วงเวลานี้กำลังเข้าสู่ฤดูกาลการประกาศผลประกอบการและจ่ายเงินปันผลประจำปี บล.ทิสโก้จึงเน้นไปที่กำไรและเงินปันผลซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของหุ้นแต่ละตัว โดยหุ้นเด่นเดือน ม.ค.66 แนะนำ AP, BBL, CENTEL, EGCO, INTUCH, KKP, MAKRO, PTTEP และ TU
แนวรับสำคัญเดือนนี้อยู่ที่ 1,650, 1,640, 1,630 จุด และแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1680, 1,700-1,720 จุดตามลำดับ
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ปี 65 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปีที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะผลตอบแทนของตลาดหุ้นโลก (MSCI World Index) ติดลบเกือบ -20% ถูกกดดันจากการปรับเปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางสำคัญต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ดี สำหรับตลาดหุ้นไทยถือว่ามีทิศทางที่ดีกว่าตลาดหุ้นโลก (Outperform) โดยให้ผลตอบแทนเป็นบวกเล็กน้อยประมาณ +1%
ภาพรวมปี 66 บล.ทิสโก้มองเป็นปีที่ท้าทายการลงทุนอีกปีหนึ่ง เนื่องจาก ประการแรก ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงต่อเนื่อง แถมมีสัญญาณบ่งชี้ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้นเรื่อย ๆ โดย Jefferies ผู้ให้บริการด้านวาณิชธนกิจระดับโลก ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของ บล.ทิสโก้คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะฉะนั้นในช่วงปลายไตรมาส 1 ต่อเนื่องไตรมาส 2 บล.ทิสโก้คาดว่าจะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่จะต้องประเมินตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ อีกครั้งเพื่อจะให้เห็นภาพการลงทุนที่ชัดเจนขึ้น
ประการที่สอง คือ การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญต่าง ๆ ยังมีแนวโน้มเข้มงวดอยู่ ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องและอาจค้างอยู่ในระดับสูงตลอดทั้งปี 2566 ผสานกับธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) จะเริ่มลดขนาดงบดุลลงเดือนละ 1.5 หมื่นล้านยูโรตั้งแต่เดือน มีนาคม 2566 เป็นต้นไป ดังนั้น แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและการดึงสภาพคล่องออกจากระบบมากขึ้น จะเป็นโจทย์การลงทุนที่ท้าทายมากในปีนี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย บล.ทิสโก้ยังคงมุมมองเชิงบวกในระยะ 3-4 เดือนข้างหน้า หลัก ๆ จากหลายปัจจัยเกื้อหนุน 1.คาดเศรษฐกิจไทยยังมีโมเมนตัมการเติบโตที่ดีจากแนวโน้มการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐ 2.จีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาดในวันที่ 8 ม.ค. นี้ ซึ่งไทยได้ประโยชน์โดยตรง 3.โอกาสเกิดการเลือกตั้งในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งปกติตลาดหุ้นไทยมักจะตอบสนองในทางบวก 3-6 เดือนก่อนล่วงหน้า
และ 4.ข้อมูลสถิติในเชิงบวก ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้นในไตรมาส 1 ของทุกปี โดยนับตั้งแต่ปี 53 เป็นต้นมา มีโอกาสมากกว่า 90% และให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย +3.4% แต่หากไม่คำนึงถึงปี 63 ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการอุบัติขึ้นของการแพร่ระบาดโควิด ผลตอบแทนจะเป็นบวกเฉลี่ย +6.1%