ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย ที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ของบริษัทในวงเงินไม่เกิน 3.5 พันล้านบาทที่ระดับ "BBB+" ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่นี้ไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้และใช้สำหรับหมุนเวียนในกิจการ
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทได้รับแรงกดดันจากต้นทุนราคาถ่านหินที่อยู่ในระดับสูงผิดปกติ โดยบริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ลดลง 60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 1.4 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรของบริษัทจะดีขึ้นจากการปรับเพิ่มขึ้นของค่าปรับปรุงเชื้อเพลิงหรือ Ft (Fuel Adjustment Charge) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 โดยค่า Ft จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 0.9343 บาทต่อหน่วยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 จาก 0.4766 บาทต่อหน่วยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 ซึ่งจะช่วยเพิ่ม EBITDA ของบริษัทได้ประมาณ 200 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA น่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 6-8 เท่า ณ สิ้นปี 2565 และคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 3-4 เท่าในช่วงปี 2566-2567 ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าราคาถ่านหินจะค่อย ๆ ลดลงสู่ภาวะปกติที่ประมาณ 100-150 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วงปี 2566-2567 ในขณะที่ค่า Ft จะยังคงอยู่ที่ 0.9343 บาทต่อหน่วยหรือสูงกว่า
ณ เดือนกันยายน 2565 บริษัทมีภาระหนี้เงินกู้ทั้งสิ้นจำนวน 1.92 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้รวมเงินกู้ไม่มีหลักประกันของบริษัทย่อยจำนวน 131 ล้านบาทแล้ว ดังนั้น บริษัทจึงมีอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดอยู่ที่ระดับประมาณ 0.7% ณ เดือนกันยายน 2565
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่า บริษัทจะสามารถดำรงผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าของบริษัทและจะสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนได้ตามแผน นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าบริษัทจะสามารถจัดหาลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมมาทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแทนสัญญาที่มีกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยซึ่งกำลังจะทยอยหมดอายุลงได้ในระยะปานกลางถึงระยะยาว
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสที่บริษัทจะได้รับการปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้านั้นมีค่อนข้างจำกัด ในทางตรงกันข้าม ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการลดอันดับเครดิตอาจเกิดจากการที่ผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีสาระสำคัญ หรือบริษัทมีการลงทุนขนาดใหญ่โดยใช้เงินกู้จำนวนมากซึ่งจะทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงมากกว่าที่ประมาณการไว้