บมจ.ธีระมงคล อุตสาหกรรม (TMI) พร้อมไปสุด ๆ กับธุรกิจพลังงาน เลิกเริ่มต้นนับหนึ่งปรับทิศลุยซื้อกิจการโรงไฟฟ้าชีวภาพพุ่งสู่เป้าแรกเพิ่ม 3-5 เมกะวัตต์ปีนี้ แถมแผนระยะยาวหาโอกาสส่งเข้าตลาดหุ้นหลังดันสัดส่วนกำไรเป็น 50-50 ขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์แสงสว่างหลังปรับตัวแล้วปังไม่หยุด ล้างขาดทุนสะสมเกลี้ยงเพิ่มแรงส่งโตก้าวกระโดด
นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ TMI เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์" ว่า แผนงานในปี 66 ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 20% จากโรงไฟฟ้าแห่งที่ 3 ที่เริ่มจ่ายไฟในเดือน พ.ย.65 ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญหนุนรายได้และผลกำไรของบริษัทให้ดีขึ้น ทำให้ทิศทางของ TMI จะก้าวไปในธุรกิจพลังงานชัดเจนมากขึ้นด้วย
ปัจจุบัน TMI มีโรงไฟฟ้าชีวภาพทั้งหมด 3 แห่ง ในสมุทรสาคร ชุมพร และสุพรรณบุรี กำลังการผลิตรวม 5.4 เมกะวัตต์ แน่นอนว่าแนวโน้มการขยายต่อจากนี้ไปจะรวดเร็วมากขึ้น เพราะบริษัทมีประสบการณ์มาแล้ว
"เราจะไม่ไปสร้างจาก Green Field แล้วเพราะว่าการบริหารจัดการและการรับรู้รายได้มันค่อนข้างจะช้า ก็น่าจะไปซื้อกิจการเลย ปีนี้ก็ตั้งเป้าไว้ 3-5 เมกะวัตต์ เตรียมเงินลงทุนไว้ประมาณไม่เกินสัก 400 ล้านบาท"นายธีระชัย กล่าว
จุดแข็งของ TMI คือการลงมือเข้าไปศึกษาโรงไฟฟ้าเองตั้งแต่ต้น ทำให้เข้าใจระบบทุกขั้นตอน และความโชคดีอีกอย่างคือการร่วมทุนกับพันธมิตรที่เป็นตัวแทนซีเมนส์ในประเทศไทย ซึ่งมีประสบการณ์ในโรงไฟฟ้าชีวภาพมาไม่น้อยกว่า 10 ปี ช่วยเข้ามาสนับสนุนดูแลเรื่อง Know How ข้อมูลพื้นฐาน และเทคนิคต่าง ๆ เป็นอย่างดี ทำให้โรงไฟฟ้าของเราใช้ปริมาณวัตถุดิบน้อย แต่เกิดประสิทธิภาพในการผลิตสูงสุด
สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์แสงสว่าง แม้ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาอาจจะมีสะดุดกันบ้าง จากเทคโนโลยี LED ที่มีผู้เล่นมากขึ้น แต่บริษัทก็สามารถกลับมาปรับตัวได้ ซึ่งปัจจุบันงาน LED ของเราตอนนี้ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานราชการหลายแห่ง
นายธีระชัย กล่าวว่า ที่สำคัญคือคนไม่ค่อยรู้ว่าตลาด LED โตกว่าเดิม เพราะหลายผลิตภัณฑ์ถูกควบรวมเป็นชิ้นเดียวกัน เมื่อหมดอายุการใช้งานต้องเปลี่ยนทั้งโคมไฟ ก็ทำให้ตลาดโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งระยะเวลาคืนทุนของ LED เร็วขึ้น ทำให้เราขยายตรงนี้ได้มากขึ้น และในปี 66 เราก็น่าจะเพิ่มสินค้ามาอีก 20-30 SKU
"ในปี 66 ถ้าโรงไฟฟ้า 3 แห่งของเราปั่นไฟเต็มที่ คิดว่าสัดส่วนรายได้จากโรงไฟฟ้าน่าจะขึ้นมาถึง 25% ต่อรายได้ทั้งหมด ส่วนอีก 75% ก็เป็นธุรกิจผลิตภัณฑ์แสงสว่าง แต่ว่าประเด็นสำคัญก็คือว่าผลกำไรมันจะเป็น 50-50 เลย"นายธีระชัยกล่าว
แผนธุรกิจระยะยาวต่อเนื่องจากปีนี้ที่ตั้งเป้าขยายกำลังผลิตไฟฟ้าในมือ 3-5 เมกะวัตต์นั้น ในปีต่อ ๆ ไปจะขยายแบบก้าวกระโดดอาจจะถึง 10 เมกะวัตต์ ซึ่งแผนของเราในอีก 2-3 ปีข้างหน้าถ้ามีถึง 20 เมกะวัตต์ก็จะมองหาโอกาสการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์
ขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์แสงสว่าง วางแผนขยายผลิตภัณฑ์อื่นที่ไม่ใช่หลอดไฟ ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้มีการขยายไปปลั๊กพ่วง ปลั๊กต่อไฟ และยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เกี่ยวกับไฟฟ้าอีก อาทิ ตู้คอนโทรลไฟ หรืออุปกรณ์สมาร์ทโฮม ซึ่งปัจจุบันกำลังศึกษาเพิ่มเติม
"ภายใน 3 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้จะไม่ใช่ 25-75 แล้ว แต่น่าจะเป็น 50-50 ซึ่งทิศทางของโรงไฟฟ้าที่เราจะก้าวไปมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และอัตราทำกำไรของโรงไฟฟ้าก็สูงกว่าผลิตภัณฑ์แสงสว่างอยู่แล้ว ก็จะทำให้กำไรจากโรงไฟฟ้าเยอะกว่าพอสมควรเลย" นายธีระชัย กล่าว
นายธีระชัย กล่าวอีกว่า พลังงานสะอาดจะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต ธุรกิจโรงไฟฟ้าก็มีหลายประเภท ทั้งพลังงานลม พลังงานแสงแดด แต่ในส่วนของโรงไฟฟ้าชีวภาพยังมีผู้เล่นน้อย เพราะมีผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และทักษะตรงนี้ค่อนข้างน้อย จึงเป็นโอกาสของเรา
"จริง ๆ ช่วงที่ผ่านมาเรามีขาดทุนสะสมอยู่หน่อยนึง แต่ในปี 65 เราก็ล้างขาดทุนสะสมหมดแล้ว ตอนนี้ผมว่าเรากลับมาแล้ว เห็นได้จากผลการดำเนินงานในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็คิดว่าจะเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีต่อ ๆ ไป และนโยบายของเราคือปันผลไม่น้อยกว่า 40% คิดว่าจากนี้ไปเราก็น่าจะปันผลตอบแทนนักลงทุนได้" นายธีระชัย กล่าว
https://youtu.be/aU4hkyPa86I