บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ (LH) ตั้งเป้าปี 65 ยอดขาย 3.5 หมื่นล้านบาท-ยอดโอน 3.3 หมื่นล้านบาท พร้อมทำรายได้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า 7.15 พันล้านบาท วางแผนเปิด 17 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 3.49 หมื่นล้านบาท เกือบทั้งหมดเป็นแนวราบ มีคอนโดฯ แค่ 1 โครงการ คือ The Key ศรีนครินทร์ เปิดตัวในไตรมาส 3/66 ขณะที่ตั้งงบลงทุน 9 พันล้านบาท แบ่งใช้ซื้อที่ดินพัฒนาโครงการเพื่อขาย 6 พันล้านบาท และซื้อที่ดินพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า 3 พันล้านบาทฃ
บริษัทยังมีแผนขายโรงแรมในประเทศไทยเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และมีแผนออกหุ้นกู้อีก 1.4 หมื่นล้านบาทในปี 66
นายนพพร สุทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริหาร LH กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 66 ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นตามเศรษฐกิจไทย ปัจจัยหลักมาจากภาคการท่องเที่ยวเติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่องจากปีก่อน แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่มาจากต่างประเทศอยู่บ้าง แต่ไม่กระทบเศรษฐกิจในประเทศและกำลังซื้อในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
ในส่วนของตลาดบ้านแนวราบยังคงเป็นกลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมจากคนในประเทศต่อเนื่อง ตั้งแต่ในช่วงโควิด-19 เป็นต้นมา ทำให้โครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ยังขายดีต่อเนื่อง และเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่สามารถเจาะกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูงได้ จะเห้นได้จากบ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาท ยังสร้างยอดขายได้ดีมาต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่เป็นพอร์ตหลักของบริษัท และสามารถหนุนยอดขายและยอดโอนให้กับบริษัทได้อย่างดีในช่วงปีที่ผ่านมา และต่อเนื่องมาถึงปี 66
ขณะที่ตลาดคอยโดมิเนียมมองว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 64 และปัจจุบันเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ เนื่องจากซัพพลายในตลาดลดลงไปมากแล้ว และผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ ทำให้ตลาดเริ่มปรับตัวเข้าสู่จุดที่สมดุล และปัจจุบันมองว่าเมื่อมีการเปิดเมืองและเปิดประเทศ กลุ่มลูกค้าต่างประเทศขะกลับเข้ามา ส่งผลให้ความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมค่อยๆกลับมามากขึ้น และผู้ประกอบการก็เริ่มมีการพัฒนาโครงการใหม่เข้ามาเติมและสร้างสีสันให้กับตลาด ช่วยให้คอนโดมิเนียมกลับมาฟื้นตัวขึ้น
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มทำเลในการเปิดคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ตอนนี้ยังคงเป็นการเปิดในทำเลที่ออกนอกเมือง ในระดับราคาเฉลี่ย 70,000-80,000 บาท/ตารางเมตร แต่ LH จะเน้นการพัฒนาคอนโดฯ เจาะกลุ่มลูกค้า Real Demand ที่แท้จริง ซึ่งจะมีความพิเศษและราคาสูงกว่าตลาด เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความต้องการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมที่แตกต่างจากตลาดทั่วๆไป
สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าในส่วนของโรงแรมในพอร์ตของบริษัท 2 โรงแรม ได้แก่ Grande Centre Point พัทยา และ Grande Centre Point Space พัทยา ที่เปิดให้บริการอยู่ ปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักกว่า 90% และอัตราค่าห้องพักที่ปรับตัวขึ้นเกินกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ไปแล้ว ในปีนี้บริษัทจะมีการพิจารณานำทั้ง 2 โรงแรมขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) ในปีนี้ มูลค่ารวมราว 9 พันล้านบาท
ส่วนโรงแรมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างปัจจุบันมี 3 โรงแรม ได้แก่ Grande Centre Point สุรวงศ์ จะเปิดในช่วงไตรมาส 4/66 Grande Centre Point ลุมพินี เปิดในไตรมาส 4/67 และ Grande Centre Point ราชดำริ 2 จะเปิดในไตรมาส 4/69 อีกทั้งยังมีเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์และโรงแรมในสหรัฐฯ 4 แห่งยังไม่ได้มีการพิจารณาการขายออกไป เพราะในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯปรับสูงขึ้นยังส่งผลกดดันต่อราคาขาย
ด้านธุรกิจศูนย์การค้าของบริษัทมีทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ ทั้งอัตราการเช่าพื้นที่และค่าเช่าที่กลับมาดีขึ้น โดยเฉพา Terminal 21 พัทยา ผู้เช่ากลับมาเช่าและสามารปรับเพิ่มค่าเช่าได้ ขณะที่ Terminal พระราม 3 ที่เพิ่งเปิดไปเมื่อเดือนต.ค. 65 ปัจจุบันมีอัตราการเช่า 95% และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้ทราฟฟิคอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และจะเป็นปัจจัยหนุนเข้ามาเต็มที่ในปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทยังมีส่วนแบ่งกำไรที่มาจากเงินลงทุนใน บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ และบมจ.แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHFG) ที่จะเข้ามาเสริมผลการดำเนินงานในปีนี้ราว 3 พันล้านบาท ทำให้ยังคงเห็นผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทอย่างต่อเนื่อง