นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือบมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปี 66 บริษัทตั้งเป้ายอดขายรอรับรู้รายได้ 1.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 65 โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.75 หมื่นล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 7 โครงการ, ทาวน์โฮม 2 โครงการ, บ้านแฝด 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ
บริษัทประเมินว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 66 มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากแรงสนับสนุน คือ มาตรการเศรษฐกิจของภาครัฐ การลงทุนเพิ่มขึ้นของภาคเอกชน การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น นโยบายการเปิดประเทศที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาและคาดว่าจะมีจำนวนสูงกว่า 20 ล้านคน ซึ่งภาคการท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญผลักดันเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 3-3.5% ประกอบกับการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ โดยเฉพาะในหัวเมืองหลักเพื่อรองรับการกลับมาของการท่องเที่ยว พร้อมทั้งนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง
บริษัทเดินหน้าทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ตามแผน เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินธุรกิจครั้งสำคัญให้ก้าวเข้าสู่ความแข็งแกร่งในทุกด้าน ภายใต้วิสัยทัศน์ คิดใหม่ ทำใหม่ (ให้) ใหม่เสมอ เพื่อสร้างผลตอบแทนบนรายได้ที่เติบโตสม่ำเสมอ ผ่าน 2 กุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร โดยการเสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิม พัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพด้วยสินค้าที่มีคุณภาพและมีนวัตกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และ เติบโตบนสมรภูมิใหม่ กับการสร้างโอกาสใหม่ๆ เพื่อสามารถรักษาระดับอัตราการเติบโตของธุรกิจ และตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้อย่างครอบคลุม ตอบโจทย์ได้ครบทุกความต้องการ และสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยให้แตกต่างจากที่เคย
4 กลยุทธ์เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิมและเติบโตบนสมรภูมิใหม่ ประกอบด้วย
1. เปิดตัวโครงการบ้านในทุกระดับราคา ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนบ้านเดี่ยวในทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะระดับลักชัวรี่เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ประจำ ในจังหวัดที่มีการขยายตัวของเมืองและแหล่งงาน ขณะเดียวกันยังคงรักษาการเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮม ด้วยการพัฒนาโครงการคุณภาพบนทำเลศักยภาพสูง และโดนเด่นด้วยฟังก์ชันที่ครองใจลูกค้า รวมถึงพัฒนาบ้านแฝดที่เน้นการออกแบบและฟังก์ชันที่เทียบเท่าบ้านเดี่ยว เน้นทำเลใกล้เมืองและแหล่งอำนวยความสะดวก ด้วยราคาที่จับต้องได้
2. จัด Big Campaign กระตุ้นยอดขายตลอดปี 66 เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อให้กับผู้บริโภค พร้อมทั้งเป็นการสร้างการรับรู้ และจดจำแบรนด์สินค้าของบริษัท
3. บุกตลาดคอนโด Low Rise จากโอกาสทางการตลาดหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายตลาดคอนโดฯเริ่มกลับมาฟื้นตัว โดยเฉพาะคอนโด Low Rise ระดับ 3-5 ล้านบาทที่มีสัดส่วนดีมานด์เพิ่มมากสุดในปี 65 ขณะที่สินค้าคงเหลือในตลาดมีไม่เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น บริษัทมีแผนพัฒนาคอนโด Low Rise ด้วยโลเคชันในเมืองและใกล้รถไฟฟ้าภายใต้ชื่อแบรนด์ใหม่ ซึ่งจะเปิดตัวเร็วๆนี้
4. ขยายพอร์ตบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่และระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ในระดับราคา 60-120 ล้านบาทใน 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ The Royal Residence แบรนด์ใหม่ รวมถึง Alpina และ The GRAND เน้นเจาะกลุ่มครอบครัวคนรุ่นใหม่