นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) กล่าวว่า แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 66 มองว่าไตรมาส 1/66 ความเสี่ยงด้านนโยบายการเงินตึงตัวแม้จะมีแนวโน้มลดลงแต่ยังคงไม่จบ ในขณะที่ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานชะลอตัวกำลังเพิ่มขึ้น แต่การเปิดประเทศของจีนเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจชะลอตัวได้บ้าง
ในไตรมาส 2/66 บริษัทคาดว่าจะเห็นสัญญาณของเศรษฐกิจและกำไรผ่านจุดต่ำสุด รวมถึงความเสี่ยงของการส่งผ่านผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ราคาพลังงานของสหภาพยุโรป เหตุการณ์สำคัญที่อาจกระตุ้นให้ตลาดถึงจุดต่ำสุด ได้แก่ 1. นโยบายการเงินที่เริ่มลดระดับการตึงตัว 2. Real yield กลับมาเป็นบวก ซึ่งหมายความว่าดอลล่าร์จะอ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะตลาด Emerging Market โดยจุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ระหว่าง 1,550-1,600 จุด เราคิดว่าตลาดหุ้นน่าจะยังมี downside อีกมากหากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเต็มรูปแบบในช่วงไตรมาส 2/66
ในไตรมาส 3/66 ตลาดหุ้นไทยจะรับประโยชน์จากเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตได้ดีกว่าสหรัฐ ยุโรป รวมถึงได้รับประโยชน์จากเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชีย และไตรมาส 4/66 ผลตอบแทนของตลาดดูเหมือนจะมีจำกัด เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของปี 67 กลับมาสู่ภาวะปกติ valuation คาดว่าจะดึงตัวหลังจาก Rally อย่างแข็งแกร่ง โดยคาดการณ์ดัชนี SET อยู่ที่ 1,750 จุด
อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากตลาดหุ้นจีนฟื้นตัว นักเศรษฐศาสตร์ของ InnovestX ประเมินว่า ข้อจำกัดเกี่ยวกับโควิด-19 ส่งผลทำให้ GDP Output ของจีนปรับลดลงราว 4-5% จากระดับ Trend ทำให้ GDP ขยายตัวราว 5%
"เราคิดว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวกต่อการผ่อนคลายนโยบายของจีน เนื่องจากจีนคิดเป็น 1 ใน 3 ของ Traffic และรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศไทย และจะช่วยกระตุ้นให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าสุทธิ หากตลาดหุ้นจีนฟื้นตัว ตลาดหุ้นไทยจะได้รับประโยชน์จาก Rally และส่งผลดีต่อ 4 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ ขนส่ง อาหารและเครื่องดื่ม และท่องเที่ยว เนื่องจากเศรษฐกิจในปี 66 จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง" นายสุกิจ กล่าว
ส่วนมุมมองกำไรของกลุ่มพาณิชย์ (Commerce) คาดว่าจะเติบโต yoy ต่อเนื่องในปี 66 ได้รับแรงสนับสนุนจากยอดขายปลีกที่ดีขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และนักท่องเที่ยวที่เข้ามามากขึ้น ประกอบกับการขยายสาขา และมาร์จิ้นที่ดีขึ้น รายได้ค่าเช่ามีแนวโน้มฟื้นตัวเนื่องจากการให้ส่วนลดค่าเช่าลดลง และอัตราการเช่าพื้นที่ที่ปรับตัวดีขึ้น และเราคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยที่ 25 ล้านคน ช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของกลุ่มท่องเที่ยวฟื้นตัว ความต้องการใช้บริการจัดอีเว้นท์ เช่น สัมมนา และงานเลี้ยง จะปรับตัวเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ การบริการด้าน Healthcare ที่ไม่เกี่ยวกับโควิดจะเติบโตเพิ่มขึ้น และการฟื้นตัวของบริการผู้ช่วยต่างชาติจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้กำไรของกลุ่มการแพทย์เติบโตในปี 66 มาร์จิ้นของกลุ่มการแพทย์แข็งแกร่ง เนื่องจากมีอำนาจกำหนดราคาสูง เราคาดว่าจะเห็นพัฒนาการเพิ่มมากขึ้นในธุรกิจใหม่ เช่น บริการสุขภาพดิจิทัล และบริการ Wellness ในปี 66
ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (Bank) คาดว่ากำไรของกลุ่มธนาคารจะเติบโต 13% ในปี 66 โดยได้รับสนับสนุนจากการคาดว่าสินเชื่อจะเติบโต 6% Net Interest Margin (NIM ) จะขยายตัว 6 bps ส่วน Non-Nll จะอยู่ในระดับทรงตัว และ Credit Cost จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 7 bps
ในด้านหุ้นไทยเน้นการฟื้นตัวจากปัจจัยภายในและการท่องเที่ยว แม้ว่าปัจจัยภายนอกค่อนข้างท้าทายแต่เศรษฐกิจไทยในปี 66 ยังอยู่ในทิศทางฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ การเปิดประเทศของจีนที่จะทำให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่องจากปี 65 การบริโภคภายในประเทศยังแข็งแกร่ง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการส่งออกที่ชะลอตัว บริษัทจดทะเบียนไทยมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง นโยบายการเงินก็เป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไปทำให้ตลาดไม่ผันผวน
"สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 66 ได้แก่ นักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตโดดเด่น ภาคบริการฟื้นตัว ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ผลกระทบจากนโยบายการเงินค่อนข้างจำกัด นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกปี 66 และการเติบโตมีแนวโน้มชะลอตัวลงในไตรมาส 2/66"
แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ จัดพอร์รับสภาพตลาดหุ้นที่ยังคงมีความผันผวน แบ่งหุ้นเป็น 2 พอร์ต สัดส่วน 70:30
พอร์ตที่ 1 (70%) เน้นหุ้นพื้นฐานดีที่ได้ประโยชน์จากเปิดเมืองของจีนและเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว ที่มีอัตราการเติบโตดีต่อเนื่อง และมีความเป็นหุ้นเชิงรับ ได้แก่ AOT, BBL, BDMS, CPALL, CRC, GPSC และ SCGP
ส่วนพอร์ตที่ 2 (30%) เป็นหุ้นเก็งกำไร ที่คาดว่าผลงานจะ Turnaround ในปีนี้ โดยเป็นบริษัทที่ความเสี่ยงด้านฐานะทางการเงินต่ำ ได้แก่ AU, HANA และ SECURE