นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่ม บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนกลยุทธ์ในช่วง 3 ปี (ปี 66-68) เดินหน้าตามกลยุทธ์ Back to growth อย่างเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้ารายได้และกำไรเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี จากการฟื้นตัวกลับมา และเดินหน้าการดำเนินงานอย่างเต็มที่ของ 3 กลุ่มธุรกิจในเครือ ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอาหาร และธุรกิจไลฟสไตล์ ซึ่งรับอานิสงส์บวกจากการฟี้นตัวของเศรษฐกิจ และการกลับมาเปิดประเทศ ซึ่งมีการเดินทางท่องเที่ยว ที่กลับมาดีขึ้นต่อเนื่อง
โดยในกลุ่มธุรกิจโรงแรมได้พลิกกลับมาเติบโตขึ้นอย่างโดดเด่นตั้งแต่ไตรมาส 3/65 ซึ่งเริ่มมีการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้นในประเทศอื่นๆที่เปิดประเทศ และประเทศไทยเริ่มกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มที่ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ของปีก่อน ทำให้ทิศทางของธุรกิจโรงแรมพลิกกลับมาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และสามารถกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 และเริ่มเห็นทิศทางบวกของธุรกิจโรงแรมที่จะกลับมาดีขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ประกอบกับปัจจัยหนุนของการที่จีนปรับนโยบาย Zero Covid และกลับมาเปิดประเทศเร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้แนวโน้มของธุรกิจโรงแรมในเครือจะเห็นการฟี้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการที่จะมีนักท่องเที่ยวจีนกลับมาท่องเที่ยว
ขณะเดียวกันโรงแรมในเครือของบริษัทยังมีแผนการปรับขึ้นอัตราค่าห้องพักรายวัน (ADR) อย่างต่อเนื่อง เป็นไปตามต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ต่างๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติทำให้ความต้องการท่องเที่ยวกลับมา ส่งผลให้บริษัทยังมีความสามารถปรับขึ้นอัตราค่าห้องพักได้ต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันถือว่าอัตราเพิ่มขึ้นไปสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แล้ว และเป็นอีกปัจจัยหนุนที่จะสร้างกำไรจากการดำเนินงานในระดับที่ดี ประกอบกับในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าบริษัทยังมีแผนการเปิดโรงแรมในเครืออีกกว่า 70 แห่ง ทั่วโลก
ส่วนธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่ฟื้นตัวกลับมาเร็วตั้งแต่ในช่วงเกิดการระบาดโควิด-19 ที่บริษัทมีการปรับมาเป็นเดลิเวอรี่ ทำให้ช่วยชดเชยยอดขายจากการนั่งทานที่ราน แต่ปัจจุบันเมื่อมีการกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ และมีการเปิดประเทศ ทำให้การกลับมานั่งทานที่ร้านฟื้นตัวกลับมาเร็ว และปัจจุบันยอดขายจากร้านอาหารส่วนใหญ่มาจากการนั่งทานที่ร้านมากขึ้น ขณะที่ยอดขายจากเดลิเวอรี่ยังคงมีเข้ามาต่อเนื่อง และบริษัทยังคงควบคุมต้นทุนต่างๆของธุรกิจร้านอาหารอย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง
ด้านธุรกิจไลฟ์สไตล์เริ่มก็เริ่มเห็นยอดขายกลับมาในทิศทางที่ดี แม้ว่าจะยังไม่เห็นการฟื้นตัวที่โดดเด่น โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มแฟชั่นที่ยังเป็นการฟื้นตัวค่อยเป็นค่อยไป ตามการจับจ่ายใช้สอยที่ฟื้นตัว รวมถึงการท่องเที่ยวที่จะมีนักท่องเที่ยวที่ทยอยเข้ามา แต่ในภาพรวมถือว่ายังทำยอดขายได้ตามที่บริษัทพึงพอใจ
สำหรับงบลงทุนของบริษัทในช่วง 3 ปี ตามแผนกลยุทธ์ Back to growth ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 1-1.5 หมี่นล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนของบริษัทในเครือ โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการลงทุนโรงแรม โดยเฉพาะการขยายโรงแรมไปยังตะวันออกกลางมากขึ้น โดยเฉพาะซาอุดิอาราเบีย
นอกจากนั้น จะใช้ขยายสาขาร้านอาหารเพิ่มเติม เพื่อรองรับแผนงานการสร้างการเติบโตของผลการดำเนินงานในอนาคต อีกทั้งล่าสุดที่ บริษัท กาก้า เบฟเวอร์เรจส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งบริษัทเข้าไปถือหุ้น 50.1% วางแผนที่นำแบรนด์ กาก้า ขยายไปยังต่างประเทศ ทั้งยุโรปและตะวันออกกลาง มองว่ามีโอกาสนำชานมไข่มุกที่ฮิตในเอเชียขยายออกไปทำตลาดได้เพิ่มเติม
นายดิลลิป กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทเริ่มกลับมามีกำไรตั้งแต่ไตรมาส 3/65 และคาดว่าผลการดำเนินงานในปี 65 จะพลิกกลับมามีกำไรได้ ทำให้บริษัทจะกลับมาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งหลังจากปิดงบฯปี 65 บริษัทจะมีการพิจารณาอัตราจ่ายเงินปันผลอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะใกล้เคียงกับในอดีตที่เคยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 30-35% ของกำไรสุทธิ
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเปิดจองซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ชุดใหม่ให้แก่ประชาชนทั่วไประหว่างวันที่ 7-9 ก.พ. 66 วงเงินหุ้นกู้ 1.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น วงเงินออกหุ้นกู้ 9 พันล้านบาท และกรีนชูอีก 2 พันล้านบาท อัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 6.1% ต่อปี อันดับเครดิตเรตติ้ง BBB+