นายพิชัย ชุณหวชิร กรรมการ บมจ.ปตท.เคมิคอล (PTTCH) กล่าวว่า แม้ในปีนี้บริษัทจะมีการลงทุนในระดับสูงประมาณ 4 หมื่นล้านบาท แต่มั่นใจว่าจะสามารถจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นมากกว่าปี 50 ซึ่งจ่ายที่อัตรา 6 บาท/หุ้นได้ โดยมั่นใจว่ากำไรสุทธิในปี 51 จะใกล้เคียงปีก่อนที่ 1.9 หมื่นล้านบาท และเชื่อมั่นว่าจะมีรายได้สูงกว่า 9 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนที่มี 7.3 หมื่นล้านบาท
แม้ว่าจะมีผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเข้าสู่ตลาดโลกมากขึ้น ทำให้อัตราส่วนต่างราคาวัตถุดิบกับราคาขายผลิตภัณฑ์มีมาร์จิ้นที่แคบลง แต่เนื่องจากในปีนี้ทาง PTTCH ไม่มีการปิดซ่อมบำรุงเลยตลอดทั้งปี ทำให้ผลิตภัณฑ์ยังมีปริมาณที่สูงทดแทนกับมาร์จิ้นที่ปรับลดลงไปได้
"แม้ว่าปีนี้ PTTCH ต้องลงทุนกว่า 4 หมื่นล้านบาท แต่เรามั่นใจว่ากำไรสุทธิปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ 1.9 หมื่นล้านบาท จะเพียงพอต่อการจ่ายปันผลและการลงทุน เราต้องคำนึงถึงรายย่อยอย่างน้อยต้องจ่ายปันผลไม่น้อยกว่าปี 50 ที่จ่าย 6 บาท เนื่องจากเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง" นายพิชัย กล่าว
สำหรับงบลงทุนในแผนปี 2550-2554 จะยังคงอยู่ที่ระดับ 9 หมื่นล้านบาท และไม่มีการปรับเพิ่มงบลงทุน แม้ว่าราคาวัตถุดิบ เหล็กและค่าก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทได้มีการเซ็นสัญญาการก่อสร้างและกำหนดราคาล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ บริษัทวางแผนในช่วง 5 ปี ( สิ้นสุดปี 53 )รายได้บริษัทจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 15% โดยปี 53 บริษัทจะมีรายได้แตะ 1.5 แสนล้านบาท
นายอดิเทพ พิศาลบุตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTCH กล่าวว่า แผนลงทุนปี 51 ใช้งบประมาณ 4 หมื่นล้านบาท มีแผนกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อลงทุนในโครงการขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์ โรง 1-4/2 ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตเอทธิลีนอีก 1 แสนตัน/ปี และกำลังการผลิตโพรพิลีนอีก 5 หมื่นตัน/ปี คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 52 เป็นไปตามแผนลงทุน 5 ปี (ปี 50-54) วงเงิน 9 หมื่นล้านบาท
"งบลงทุนเรายังคงเป็นตัวเลขเดิมที่ 9 หมื่นล้านบาทแม้ว่าจะมีต้นทุนการก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่เราก็ได้กำหนดราคาล่วงหน้าไว้หมดแล้วส่วนหนี้สินของเราที่มีกว่า 2 หมื่นล้านบาท ได้มีการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน ถึง 65% และมีแผนเพิ่มเป็น 80%" นายอดิเทพ กล่าว
*สเปรดแคบลงแต่เชื่อรายได้ไม่ต่ำกว่า 9 หมื่นลบ. /กู้เงิน 4 หมื่นลบ.ในปีนี้
นายพิชัย กล่าวต่อว่า ช่วงนี้แม้จะมีการเทขายหุ้นปิโตรเคมีออกมาจากความกังวลเกี่ยวกับปริมาณผลิตภัณฑ์ที่เข้าสู่ตลาดโลกมากขึ้น แต่เชื่อว่ายังไม่เข้าสู่ขาลงของธุรกิจปิโตรเคมี และผลิตภัณฑ์น่าจะกระจายตัวได้
ขณะที่นายอดิเทพ คาดว่า ในปี 51 ราคาขาย MEG มีแนวโน้มปรับตัวลดลง คาดจะอยู่ที่ 1,000 เหรียญ/ตัน แต่ราคาเม็ดพลาสติก HDPE ยังคงอยู่ระดับสูงที่ 1,600 เหรียญ/ตัน ซึ่งจะช่วยให้รายได้ของบริษัทไม่ต่ำกว่า 9 หมื่นล้านบาท
"สเปรดปีนี้มีทิศทางปรับตัวแคบลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากต้นทุนค่าพลังงานทั้งก๊าซและน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับราคาขายผลิตภัณฑ์ไม่ได้เพิ่มตามราคาน้ำมัน คาดว่าสเปรดอาจจะลดลงอีก" นายอดิเทพ กล่าว
สำหรับการเข้าเทกโอเวอร์กิจการผลิตโพลีสไตรีนจากกลุ่มบริษัทญี่ปุ่น มีกำลังการผลิต 9 หมื่นตัน/ปี ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเข้าไปปรับปรุงตัวโรงงาน คาดว่าจะใช้เงินลงทุนในปีนี้ประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อเริ่มผลิตใน 1 พ.ค.51 แต่การสร้างรายได้ในปีแรกคงไม่มากนัก เนื่องจากเป็นโรงงานเก่าและหยุดกิจการไปนาน จึงต้องใช้เวลาเข้าปรับปรุงก่อนเข้าผลิตจริง
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--