KTB ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นรับแรงซื้อกลับหลังจากราคาร่วงไปตาม Sentiment กลุ่มแบงก์ในสัปดาห์ก่อน เมื่อเวลา 10.21 น. ราคาหุ้นปรับขึ้น 2.92% หรือเพิ่มขึ้น 0.50 บาท มาที่ 17.60 บาท มูลค่าซื้อขาย 460.82 ล้านบาท
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะ "ทยอยซื้อ" หุ้นธนาคารกรุงไทย (KTB) คงราคาพื้นฐานที่ 18.40 บาท เนื่องจากกำไรไตรมาส 4/65 เติบโตสูงสุดในกลุ่มแบงก์เมื่อเทียบ YoY และคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐ รวมถึงมีแอปฯ เป๋าตังค์เป็นส่วนเสริมรายได้ค่าธรรมเนียม
KTB รายงานกำไรไตรมาส 4/65 ที่ 8.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% y-y และเป็นธนาคารที่มีกำไรเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากรายได้ดอกเบี้ย และกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เพิ่มขึ้น และมีการตั้งสำรองลดลง แต่กำไรลดลง 4% q-q เนื่องจากการตั้งสำรอง และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น
KTB มีกำไรป๊ 65 ที่ 33.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 56.1% y-y จากการตั้งสำรองที่ลดลงมากเป็นหลัก นอกเหนือจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ย และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย โดยเฉพาะกำไรจากเครื่องมือทางการเงิน
สินเชื่อในไตรมาส 4/65 ของ KTB ยังคงหดตัวต่ออีก 0.6% q-q และเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน และทำให้สินเชื่อหดตัวจากสิ้นปี 64 เป็น 1.2% แต่ NPL ก็ลดลงด้วย โดยลงเหลือ 3.26% จาก 3.32% ในไตรมาสก่อน
ขณะที่ บล.กรุงศรี มองว่า จากแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งของ KTB และราคาหุ้นยังมี upside เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ประเมินราคาเป้าหมายใหม่ที่ 24 บาท อิงจาก PBV ที่ 0.8x (จากเดิมที่ 23 บาท)
แนวโน้ม แนวโน้มกำไรปี 66 จะเติบโตตาม NIM ที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก เราคาดว่ากำไรของ KTB จะยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ประมาณ 24% จากการขยายสินเชื่อ และ NIM ที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้จากการที่ KTB มุ่งเน้นขยายสินเชื่อที่คิดดอกเบี้ยลอยตัวให้กับลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อรายย่อยประเภทที่ความเสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะกลุ่มที่โยงกับการจ่ายเงินเดือน
ในขณะเดียวกัน KTB มีสัดส่วน CASA สูงที่สุดในกลุ่มธนาคารที่กว่า 80% ของโครงสร้างเงินฝาก ทำให้เราเชื่อว่า KTB จะเป็นหนึ่งในธนาคารที่ได้อานิสงส์เต็ม ๆ จากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น และคาดว่าโมเมนตัมกำไรของ KTB จะเร่งตัวขึ้นทั้ง qoq และ yoy ได้ใน Q1/66 จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงตามฤดูกาล และ NIM เพิ่มขึ้นหลังมีการขึ้นดอกเบี้ยหลายรอบในช่วงที่ผ่านมา