นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายปี 66 เติบโตราว 5% จากปีก่อนทำได้ 13,157 ล้านบาท โดยหลักจะมาจากการปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ตามต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนปริมาณการขายน่าจะไม่ได้โตมากนัก ทั้งนี้คาดยอดขายในประเทศน่าจะเติบโตได้ตามตลาดเซรามิก หรืออยู่ในกรอบ 1-2% เท่านั้น จากยังเผชิญกับความผันผวนในหลายปัจจัย ส่วนยอดขายต่างประเทศ จะพยายามรักษาระดับการเติบโตให้ใกล้เคียงปีก่อนหรือราว 19%
"ปีที่แล้วสิ่งที่เราโฟกัส คือการลงทุนต่างๆ เราจะลงทุนในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร หรือลดสัดส่วนการพึ่งพาต้นทุนพลังงานทั้งไฟฟ้า และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งโครงการต่างๆ ที่เราได้ลงทุนไว้ในปี 65 จะเริ่มเห็นผล และเราก็พยายามเร่งเต็มที่เพื่อให้เกิดผลเร็วที่สุด เนื่องจากต้นทุนพลังงานส่งผลกระทบกับเราค่อนข้างมาก โดยเรามีการลงทุนพวกไฟฟ้าที่มาจากโซลาร์ค่อนข้างมากในปีที่ผ่านมา เพื่อมาลดผลกระทบจากค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในปีนี้" นายนำพล กล่าว
COTTO แจ้งผลประกอบการปี 65 ขาดทุน 227.79 ล้านบาท พลิกจากกำไร 583.6 ล้านบาทในปี 64
นายนำพล กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตในปีนี้เริ่มเห็นสัญญาณบวกมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 1/66 หลังจากเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้จังหวัดต่างๆ ที่เป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งเชียงใหม่ ภูเก็ต ขณะที่ต้นทุนพลังงานในไตรมาสแรกนี้ถือว่ายังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า และค่าก๊าซธรรมชาติก็ยังทรงตัวในระดับสูงใกล้เคียงกับไตรมาส 4/65 แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าแนวโน้มค่าพลังงานน่าจะเริ่มดีขึ้นหรืออ่อนตัวลงมาบ้างในครึ่งปีหลังนี้
ด้านตลาดส่งออกยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง จากการควบคุมการนำเข้าของต่างประเทศ ซึ่งจะต้องติดตามสถานการณ์ในไตรมาส 2/66 ว่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการการต่างๆ ลงหรือไม่ หากมีการผ่อนคลายก็จะหนุนภาพรวมให้ดีขึ้น
บริษัทมองว่าปัจจัยด้านราคาพลังงานยังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องติดตามต่อเนื่อง โดยได้เตรียมรับมือกับต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานที่ยังปรับตัวสูงขึ้น ด้วยการลดต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้า โดยจะเร่งโครงการ Energy Saving ให้เกิดผลเร็วขึ้น เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานให้เร็วที่สุด
บริษัทได้วางงบลงทุนรวมไว้ที่ 450-500 ล้านบาท รองรับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยจะลงทุนเครื่องจักรใหม่เพิ่มเติม ขณะเดียวกันก็ลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรเดิม และลงทุนในโครงการ Energy Saving เพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้า รวมถึงใช้ลงทุนขยายร้านค้าร่วมกับตัวแทนจำหน่ายด้วย
ขณะที่ภาพรวมตลาดเซรามิกในปี 66 บริษัทคาดว่าความต้องการมีแนวโน้มขยายตัวตามการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ตามเศรษฐกิจโดยรวมที่น่าจะขยายตัวและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากแรงหนุนภาคการท่องเที่ยว แต่การแข่งขันในอุตสาหกรรมก็มีแนวโน้มจะสูงขึ้นกว่าปีก่อน ดังนั้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน พร้อมกับรักษาส่วนแบ่งการตลาดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ บริษัท ฯ มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ด้านการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายเพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าและคู่ค้า
บริษัทจะร่วมกับร้านค้าโมเดิร์นเทรด ผู้แทนจำหน่าย รวมถึงช่องทางออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ง่ายและทั่วถึง บริหารพอร์ตสินค้า เน้นขายสินค้าที่มีกำไรสูง ตลอดจนปรับราคาสินค้าเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต ควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐาน ทั้งในด้านดีไซน์ ความสวยงาม คุณภาพสินค้า และการบริการที่เหนือกว่า เมื่อเทียบกับสินค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าที่มุ่งแข่งขันเรื่องราคาเป็นหลัก และมุ่งที่จะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มเป็นกำลังซื้อที่สำคัญ
"ในปีนี้ COTTO มุ่งเน้นที่จะสื่อสารกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Young Generation) โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของบ้าน สถาปนิก และดีไซน์เนอร์ ให้มากขึ้น เนื่องจากเรามองว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่กำลังจะก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้นเรื่อย ๆ และจะกลายเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อมากขึ้นในอนาคตด้วย เราจึงมีแนวทางพัฒนาสินค้าภายใต้ดีไซน์คอนเซปต์ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่อายุน้อยลง และมีสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น โดยจะมีการออกสินค้าคอลเลกชันใหม่ ที่จะมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มใหม่ เพื่อให้ COTTO มีภาพลักษณ์ที่ดูทันสมัยขึ้นและเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ได้มากขึ้น ผสมผสานกับการสื่อสารที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในแต่ละ Segment ได้ตรงจุดและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เชื่อว่าถ้าเราสามารถปรับการสื่อสารได้หลากหลายรูปแบบตามกลุ่มลูกค้าที่เปลี่ยนไปในแต่ละรุ่นก็จะทำให้ COTTO สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น สุดท้ายแล้วจะทำให้ลูกค้านึกถึงแบรนด์ COTTO อยู่เสมอ เป็นการตอกย้ำว่าเราจะยังคงเป็นผู้นำเทรนด์และสามารถตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าในอดีต ปัจจุบัน หรือ ในอนาคต" นายนำพล กล่าว