บมจ.นิวทรีชั่น เอสซี (NTSC) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) ที่หุ้นละ 26.25 บาท จำนวนเสนอขาย 25 ล้านหุ้น แบ่งเป็นไม่เกิน 18.75 ล้านหุ้นเสนอขายบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ , ไม่เกิน 3.75 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่ผู้มีอุปการะคุณ และ ไม่เกิน 2.5 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่พนักงาน ส่วนหุ้นที่เหลือจะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป ระยะเวลาจองซื้อตั้งแต่วันที่ 1-3 กุมภาพันธ์ 2566 และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ในหมวดธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย คือ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) และเป็นที่ปรึกษาทางการเงินด้วย
NTSC ยังแต่งตั้ง บล.ฟินันเซีย ไซรัส, บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง , บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) และ บล.ทรีนีตี้ เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน
ราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 26.25 บาท คิดเป็นอัตราส่วน P/E ที่ประมาณ 22.3 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากกำไรสุทธิตามงบการเงินในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.64-30 ก.ย.65) ซึ่งเท่ากับ 88.2 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทก่อนการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้เท่ากับ 75.0 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.5 บาทจะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 1.2 บาท
NTSC เป็นผู้นำเข้า ผลิต และจัดจำหน่าย วัตถุดิบ สารปรุงแต่ง และวัตถุเจือปนในอาหารคนและอาหารสัตว์ กลุ่มบริษัทประกอบด้วย
1) NTSC ประกอบธุรกิจนำเข้า ผลิต และจำหน่ายวัตถุดิบ, สารปรุงแต่ง, วัตถุเจือปนอาหาร, วัตถุแต่งกลิ่นรส, สารเสริมอาหารและเครื่องปรุงต่าง ๆ ในอาหารคน
2) บริษัท นิวโวเทค จำกัด ประกอบธุรกิจนำเข้า ผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบ, วัตถุที่เติม (Feed additives), วัตถุที่เป็นสื่อ (Carrier), วัตถุที่ผสมแล้ว (Premix), อาหารเสริม (Supplement) ในอาหารสัตว์ (Feed และ Pet Food) และ
3) บริษัท นิวทรีชั่น จำกัด ประกอบธุรกิจให้เช่าอาคารและให้เช่าช่วงที่ดินแก่ NTSC เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ
นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า NTSC จะเดินหน้าจัดงานโรดโชว์ นำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้น IPO ต่อนักลงทุนรายย่อย ชูปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของธุรกิจ และจุดเด่นของ NTSC เป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจวัตถุเจือปนอาหารคนและอาหารสัตว์รายใหญ่ในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 4 ทศวรรษ มีความรู้และประสบการณ์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล มีศูนย์นวัตกรรม และทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านอาหาร
รวมทั้ง มีศักยภาพในการจัดหาผลิตภัณฑ์ในปริมาณที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า และการกระจายพอร์ตลูกค้าได้ดี ไม่พึ่งพาลูกค้ากลุ่มใดเป็นสำคัญ โดยลูกค้ารายใหญ่สุดของบริษัท 20 ราย คิดเป็นสัดส่วนของยอดขายราว 34% ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่สุดมีสัดส่วนประมาณ 4% ของยอดขาย ทำให้กลุ่มบริษัทไม่มีความเสี่ยงที่ต้องพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่เพียงรายเดียวมากจนเกินไป ส่งให้ในช่วงที่ผ่านมา NTSC มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างมั่นคง และความสามารถในการทำกำไรที่ดี
น.ส.พัชร์ เอกปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NTSC กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 628.2 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) เพื่อใช้สำหรับลงทุนโครงการในอนาคต ได้แก่ ลงทุนในโครงการผลิตสารกระตุ้นความน่ากินในสัตว์เลี้ยง (Palatability Enhancer Project) มูลค่า 4.9 ล้านบาท , โครงการลงทุนในเครื่องจักรสำหรับการผลิตสินค้า OEM และสินค้าประเภท Food Preparation มูลค่า 12.3 ล้านบาท รวมทั้ง ใช้ชำระหนี้สินเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 400 ล้านบาท และ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ 211 ล้านบาท เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้เติบโตก้าวกระโดดได้ในอนาคต
การระดมทุนครั้งนี้จะสนับสนุนฐานทุน NTSC ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เตรียมพร้อมสำหรับขยายไปยังโอกาสใหม่ๆ ในห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมอาหารได้อย่างครอบคลุม และมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต เนื่องจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ ขณะที่ธุรกิจสารปรุงแต่ง วัตถุดิบ และวัตถุเจือปนในอาหารคน ถูก Disrupt ได้ยาก และมีแนวโน้มเติบโตตามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคอาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่ อาหารจากพืช (Plant-based Food) หรือ อาหารและเครื่องดื่มที่สอดรับต่อความต้องการด้านสุขภาพ นอกจากนี้ NTSC พร้อมรุกตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มเติม เนื่องจากตลาดดังกล่าวมีการเติบโตสูง และประเทศไทยติด Top 5 ส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงในตลาดโลก ส่งผลบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในอนาคต
ผลการดำเนินงานของ NTSC ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 62-64) มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี มีรายได้จากการขาย 852.3 ล้านบาท 997.1 ล้านบาท และ 1,037.9 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 92.7 ล้านบาท 90.6 ล้านบาท และ 98.8 ล้านบาท ตามลำดับ จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหารคนและอาหารสัตว์
ส่วนงวด 9 เดือนแรกของปี 65 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 796.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของวัตถุเจือปนในอาหารสัตว์ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น 36.8% เนื่องจากในปี 65 กลุ่มบริษัทมุ่งเน้นทำการตลาดในกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงและสัตว์เศรษฐกิจมากขึ้น และมีกำไรสุทธิ 62.8 ล้านบาท โดยมีโครงสร้างรายได้ของกลุ่มบริษัทประกอบด้วย รายได้จากการนำเข้า ผลิตและจัดจำหน่ายวัตถุดิบ สารปรุงแต่ง และวัตถุเจือปนในอาหารคน คิดเป็นสัดส่วนหลัก ราว 90% ส่วนรายได้จากวัตถุดิบ สารปรุงแต่ง และวัตถุเจือปนในอาหารสัตว์ มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 10%