นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เปิดเผยว่า ในปี 65 เซ็นทรัล รีเทล ได้ดำเนินแผนธุรกิจตามยุทธศาสตร์ 5 ปี CRC Retailligence และสร้างความสำเร็จในการขยายพอร์ตธุรกิจให้เติบโตทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ฟู้ด แฟชั่น ฮาร์ดไลน์ พร็อพเพอร์ตี้ และเฮลธ์แอนด์เวลเนส โดยสร้างรายได้รวมเติบโตมากกว่า 20% ถือเป็นผลประกอบการที่เกินเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้
ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 66 เซ็นทรัล รีเทล มองเห็นสัญญาณบวกของภาคค้าปลีกและบริการในทั้ง 3 ประเทศ จากสภาพเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก การเปิดประเทศของจีน รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ฟื้นตัว
CRC จึงอัดงบลงทุน 2.8 หมื่นล้านบาทขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเต็มกำลังบนยุทธศาสตร์ CRC Retailligence ที่เพิ่มความเข้มข้นยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นที่จะสร้างเซ็นทรัล รีเทล ให้เป็นเบอร์ 1 Next-Gen Omni Retailer ของเอเชีย พร้อมสร้างการเติบโตในประเทศเวียดนามอย่างก้าวกระโดด ด้วยการขยายโมเดลธุรกิจฟู้ดและศูนย์การค้า GO! ที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 93 ตามเจตนารมณ์การเป็น Green & Sustainable Retail องค์กรค้าปลีกต้นแบบด้านความยั่งยืนรายแรกในประเทศไทย
เป้าหมายทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้จริงจากการสร้างปรากฏการณ์ The Next Sustainable Growth ของเซ็นทรัล รีเทล ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย
1. Accelerate Core Leadership ? เร่งสร้างการเติบโตของกลุ่มธุรกิจหลักในทั้ง 3 ประเทศ
กลุ่มแฟชั่น : ตอกย้ำความเป็นผู้นำในกลุ่มแฟชั่น โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายห้างสรรพสินค้าลักชูรี่ในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อต่อยอดธุรกิจกลุ่มแฟชั่นให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งสินค้าใหม่ แบรนด์ใหม่ และเชื่อมต่อแพลตฟอร์มของห้างลักชูรี่ทั้งหมด เพื่อให้ลูกค้าสามารถช้อปปิ้งจากทุกห้างของกลุ่มได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมทั้งเดินหน้าขยาย และรีโนเวทสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนจะเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสัน อีก 2 สาขา ในปีนี้
กลุ่มฮาร์ดไลน์ : เสริมแกร่งความเป็นผู้นำในกลุ่มฮาร์ดไลน์ของประเทศไทย ด้วยการเร่งเครื่องขยายสาขาใหม่ของไทวัสดุ และไทวัสดุ ไฮบริด ฟอร์แมท รวมอีก 10 สาขาในปีนี้
กลุ่มฟู้ด : สร้างการเติบโตในเวียดนามอย่างก้าวกระโดด รวมถึงผลักดันแบรนด์ Tops ขึ้นเป็น Food Discovery & Destination และ เบอร์ 1 Food Omni Retailer ด้วยการขยายสาขา Tops รวมอีก 15 สาขาในปีนี้
กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ : ขึ้นแท่นผู้นำศูนย์การค้า Lifestyle and Experiential Community Platform ของประเทศไทย ด้วยการขยายและรีโนเวทศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดเพิ่มอีก 1 สาขาในปีนี้ นอกจากนี้ในเวียดนามก็มีการก่อสร้างศูนย์การค้า GO! สาขาใหม่ๆ เพื่อเตรียมเปิดอีก 6-8 สาขา ในปี 67
นอกจากนี้บริษัทยังสร้างฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง บนกลยุทธ์ 3C คือ Cost บริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด, Capex เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน Strategic Business และเร่งขยาย Proven Format และ Cash Flow ขยายขีดความสามารถในการจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้มีความรวดเร็ว คล่องตัว และเพิ่มกระแสเงินสดให้มากขึ้น สำหรับสร้างการเติบโตทางธุรกิจต่อไป
2. Reinvent Next-Gen Omni Retail - ยกระดับ CRC Ecosystem ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีและระบบต่างๆ ที่ดีที่สุดจากทั่วโลกมาสร้างการเติบโตแบบ Inclusive Growth ให้ทั้งลูกค้า แบรนด์ และพาร์ทเนอร์ บนแพลตฟอร์ม Next-Gen Omni Retail เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าในทุกมิติให้แก่ผู้บริโภค ทั้งในด้าน Experience-driven ที่เชื่อมโยงทุกช่องทางอย่างไร้รอยต่อ การใช้ AI เพื่อมอบสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้าแบบ Smart Retail รวมถึงการปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มได้อย่างรวดเร็ว ตามเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปด้วย Agile Commerce และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกที่ทุกเวลาแบบ Multi-Moment
3. Build New Growth Pillars - ต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น โดยมีแผนเปิดตัวธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อเสริมทัพธุรกิจในประเทศไทยและเวียดนาม
4. Drive Partnership, Acquisition and Spin Off ? ขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรและการทำ M&A พร้อมนำ MEB เบอร์ 1 แพลตฟอร์ม E-Book เข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เสนอขายหุ้น IPO แก่ประชาชนทั่วไป ในวันที่ 14 ก.พ. 66
ทั้ง 4 กลยุทธ์ดังกล่าว จะทำให้เซ็นทรัล รีเทล เติบโตสู่ The Next Sustainable Growth และคาดว่าจะสร้างรายได้รวมในปี 66 ราว 2.7 แสนล้านบาท เติบโตมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเราจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป ตอกย้ำการเป็น Green & Sustainable Retail ผ่าน 4 กลยุทธ์ ?ReNEW? และตั้งเป้าระยะสั้นในปี 66 ที่จะนำพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ให้ได้ 30%, ลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบ 10% และลดการใช้น้ำ 10%, เพิ่มการจำหน่ายสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสัดส่วน 20% ของสินค้าทั้งหมด และเพิ่มพื้นที่สีเขียวจากการปลูกป่าอีก 5,000 ไร่ เพื่อช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก
"เซ็นทรัล รีเทล พร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญในการทำทุกสิ่งที่สามารถทำได้ เพื่อส่งมอบโลกที่น่าอยู่ให้กับคนเจนเนอเรชั่นต่อๆไป" นายญนน์ กล่าว